วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ส.ค.ส. พระราชทาน ปี พ.ศ. 2556


ส.ค.ส.พระราชทานประจำปี 2556

  คลิกที่ภาพจะใหญ่ขึ้นครับ


วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2555

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่ ให้แก่ประชาชนชาวไทย
ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประจำปีพุทธศักราช 2556 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์เชิ้ตลำลองสีฟ้า มีลายเส้นสีชมพูและสีฟ้าฟ้าเข้มพาดตัดกัน  พระสนับเพลาสีดำ และฉลองพระบาทสีดำ
ประทับบนพระเก้าอี้  ด้านขวาของพระเก้าอี้ที่ประทับ มีโต๊ะกลม วางพระบรมฉายาลักษณ์ครอบครัว และเชิงเทียนแก้ว ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา และคุณมะลิ แม่เลี้ยงคุณทองแดง สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านซ้าย

ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับ ตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้หลากสี  ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ  ส่วนด้านซ้ายมีผอบทอง ประดับ
ด้านล่างของผอบทอง มีตัวอักษรสีทอง ข้อความว่า ส.ค.ส.  พ.ศ. ๒๕๕๖ สวัสดีปีใหม่  และ ตัวอักษรสีขาว ข้อความว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ  HAPPY  NEW  YEAR
ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า  “ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข  ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา  ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา  ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย”
       
ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีม่วงเข้ม มุมล่างขวา มีข้อความ  ก.ส. 9 ปรุง 181122 ธค.55 ( กอ สอ เก้า ปรุง  สิบแปดสิบเอ็ด  ยี่สิบสอง ทอ คอ ห้าห้า )  พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด  ท.พรหมบุตร,  ผู้พิมพ์โฆษณา  Printed at the Suvarnnachad ,  D Bramaputra , Publisher         ( พริ้นเทด แอ้ท เดอะ สุวรรณชาด  , ดี. พรหมบุตร, พับลิชเชอร์ )
กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่า งเรียงกันด้านละ 2 แถว  ทุกหน้า มีแต่รอยยิ้ม

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

งานแต่งงาน อิสลาม คู่นี้ที่งดงาม

sorawichphotography.blogspot.com
จัดเล็ก ๆ ที่ร้านอาหาร  เช้าวันนั้นผมถ่ายให้เพื่อนที่ทำงานของเพื่อนที่ห้องใหญ่ข้างล่าง  โชคดีที่งานนี้มีที่เดียวกันแต่ชั้นบน
เป็นอีกงานที่ง่าย ๆ แต่ดูสวยงาม
ภาพนี้ใช้ 84 f 1.4 เปิดเต็ม ๆ ละลายฉากหลังที่เป็น wallpaper ของร้านอาหารนั้น  ใช้แสงจากหน้าต่างที่อยู่ด้านขวามือ 
จำไม่ได้ว่าเติมรีเฟลกซ์ด้านซ้ายนิดหนึ่งหรือเปล่า
มา แต่งภาพให้เนียนขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น  ผมไม่ชอบให้ภาพดูต่างจากความจริงหรือสีผิดเพี้ยนมากไป  เพราะภาพนี้วันนี้จะเป็นอมตะอยู่ไปตราบนานเท่านาน
facebook.com/Sorawichphotography

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทดลองทำ Lightroom Preset ในอีกโทนสี

ตามหลักการทำที่เขาทำทั่วไปอาจใช้ภาพเดียว ๆ กันเพื่อสะดวกในการเปรียบเทียบ  แต่รู้สึกเบื่อที่จะดูภาพเดิม ๆ คนเดิม ๆ ตลอด  เปลี่ยนนางแบบเปลี่ยนวิวไปเรื่อย ๆ ดีกว่า
เพราะยังไงก็ต้องทดสองทำภาพจากคนละแสงคนละบรรยากาศ

สีแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ  แสงสีไม่ได้สดใสแต่ดูแปลกตา น่าค้นหา
ด้วยความเป็นคนที่ชอบดูผิวสวย ๆ Preset อันนี้ยังพยายามรักษาไม่ให้สีผิวเวอร์ สว่าง หรือขาวเกิน 

ทดลองทำ Lightroom Preset เองบ้างดีกว่า เอาไว้ทุ่นเวลาแต่งภาพ

เมื่อคืนตอนดึกนึกอยากทำ Lightroom Preset ไว้ใช้เองบ้าง  เพราะบางทีแต่งภาพจำนวนมากการมาค่อย ๆ แต่งสีมันเสียเวลามาก 
นอก จากบางทีต้องใช้แล้ว  ยังเกิดจากไปเปิดอ่านกระทู้ห้องกล้องนี่  ปัญหาเรื่องแต่งภาพเหมือนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นทุกวัน  ปกติแล้วผมจะถ่ายให้พอดี  จบที่หลังกล้องเลย  แต่ทำเอาไว้เผื่องานที่ต้องใช้

อันแรก ๆ แรกบันดาลใจมาจากหนัง  พอใจ  แต่ยังไม่ที่สุด  เดี๋ยวทดลองทำใหม่


วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

บุรีธารา รีสอร์ท แอนด์ สปา กาญจนบุรี Buritara Kanchanaburi.







                           facebook.com/Sorawichphotography
เริ่มเปิดบันทึกการเดินทาง เริ่มต้นที่เมืองกาญ
ไม่อะไรหรอก เปิดเวปบุรีธาราดูปรากฏว่าภาพที่เราถ่ายให้ยังอยู่ และ ภาพที่ยืนบนทางรถไฟนี้เหมือนว่าต้นฉบับที่เราไม่มี น่าจะจากกล้องเพื่อนเราที่ไปด้วยกัน  คงไม่ได้เก็บภาพไว้แล้ว  ก็ยังดีที่เก็บได้จากในเวป
เดี๋ยวต้องค้นอะไรมาลงไว้อีก เพราะถ้าหาไม่เจอยังไงก็มีในเวปไว้ให้ดู

ภาพผมเองบนทางรถไฟสายมรณะ และ ผลงานภาพประกอบบางส่วนในเวปของ บุรีธารา รีสอร์ท แอนด์ สปา กาญจนบุรี เปิดเวปดูภาพวันก่อนก็สนุกไปอีกแบบ  นึกถึงวันที่ไปเที่ยวในวันนั้น
Buritara Resort, Buritara Kanchanaburi, Thailand
 เรื่องและภาพเพิ่มเติมโปรดติดตามในตอนต่อไปครับ
つづく

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Ajinomoto Group's Event

Ajinomoto group's Event
หลัก ๆ ที่รู้จักกันก็มีสินค้าเหล่านี้



อายิโนะโมะโต๊ะ (ถ้วยแดง) ผงชูรสแท้  มีความบริสุทธิ์มากกว่า 99.0% ผลิตโดยกระบวนการหมักจากวัตถุดิบธรรมชาติ ได้แก่ แป้งมันสำปะหลังและอ้อย



"รสดี" คือ ผงปรุงรสที่ช่วยเติมความอร่อยให้กับทุกเมนูอาหาร ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด ไม่ว่าเมนูไหน ก็อร่อยได้ง่ายๆ ด้วยรสชาติกลมกล่อมจากวัตถุดิบชั้นดี อันได้แก่ ผงเนื้อสกัดที่ผสมผสานกับเครื่องเทศอย่างลงตัว รสดี จึงเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุขของครอบครัวไทย ในการรับประทานอาหารมาตลอด 30 ปี
 
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา "ยำยำ" ผลิตจากวัตถุดิบที่ผ่านการคดคุณภาพมาเป็นอย่างดี ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่สะอาด ทันสมัย เพื่อให้คุณได้อร่อยกับรสชาติที่ถูกปาก และเต็มอิ่มกับรสชาติ เหมือนได้รับประทานจากเมนูจริง

 กาแฟกระป๋องเบอร์ดี้

"คาลพิส แลคโตะ"    (Calpis Lacto)     เป็นเครื่องดื่ม ภายใต้เเบรนด์
"คาลพิส" ต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ทั้งความสดชื่น ดับกระหาย ดื่มได้คล่องคอ และมีคุณค่าต่อร่างกาย จากส่วนประกอบที่มาจากธรรมชาติ ให้กลิ่น หอมเฉพาะ เเละรสชาติหวานอมเปรี้ยวอย่างลงตัว เติมเต็มความสดชื่น ดับกระหาย ระหว่างวันในทุกที่ทุกโอกาสกับ "คาลพิส แลคโตะ" สดชื่นเน้นๆเป็นต้องลอง ได้แล้ววันนี้ที่ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ

“ทาคูมิ” มาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ที่มีความรู้ และเชี่ยวชาญทางด้านการปรุงอาหาร โดยคนผู้นี้มีความสามารถโดดเด่นมากกว่าพ่อครัวทั่วไป หรือ Master Chef”

ทาคูมิ-อายิ คือ ซอสญี่ปุ่นปรุงสำเร็จสำหรับตั้งโต๊ะ (ใช้เหยาะ) และปรุงอาหาร ดังนั้น คุณจึงสามารถปรุงอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนไทยได้ง่ายๆ เพียงใช้วัตถุดิบทั่วไปที่อยู่ในครัว

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โจน จันใด เล่าที่มาที่ไปของหนังสือ "อยู่กับดิน"

โจน จันใด เล่าที่มาที่ไปของหนังสือ "อยู่กับดิน" หนังสือเล่มแรกที่เขียนมากับมือ จากประสบการณ์ 16 ปีการทำบ้านดินในเมืองไทย ณ ร้านหนังสือ Book Re:public จ.เชียงใหม่ วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2555

เวบไซต์ช่วยแปล ภาษาไทย เป็น ภาษาลาว (Thai to Lao) (Lao-French and French-Lao)

http://www.laosoftware.com/index.php

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Executive Portrait ผู้นำทางอุตสาหกรรมเหล็ก มิลล์คอน



Sorawich Buppa's reference portfolio
Executive Portrait
ผู้นำทางอุตสาหกรรมเหล็ก มิลล์คอน

Me and Robert P. Miles

Robert P. Miles is an internationally acclaimed keynote presenter, author and distinguished authority on Warren Buffett and Berkshire Hathaway.

Pursued by journalists and media moguls on just about each and every move that Mr. Buffett makes, Robert is not only a long term shareholder of Berkshire Hathaway [nyse: BRKa/BRKb], he has had the great honor of getting to know Warren Buffett, the man and the remarkable wealth-building strategist.

He is the author of 3 books, has created assorted audio and video programs, and has appeared on many radio and television programs on five continents, including NPR, CNN, CNN International, CNBC, FOX Business, Channel News Asia, Sky Business News, Shanghai Today, CNBC Asia, CNBC Africa and Bloomberg TV. His Buffett CEO book was featured as a special on National Public Television's Nightly Business Report.
As the writer of the top-selling books The Warren Buffett CEO: Secrets From the Berkshire Hathaway Managers and 101 Reasons To Own the World's Greatest Investment: Warren Buffett's Berkshire Hathaway [Wiley], Robert has relentlessly followed his passion and found great success in doing so.

He is the author and presenter of Warren Buffett Wealth: Principles and Practical Methods Used by the World’s Greatest Investor [Wiley (book) and Nightingale (audio)]. He is host of the Buffett CEO Talk video series, conversations with the Berkshire Hathaway managers filmed before live studio audiences and broadcast on public television.

Many of his live keynotes, along with his hardcover and paperback books have been translated into assorted foreign languages, including Chinese, Korean, Thai, Japanese, and Vietnamese.

Known for his subtle wit and entertaining stories, this author without borders has shared his valuable insights, strategies, philosophies, and anecdotes with enthusiastic audiences throughout the world.

For more than a decade, Miles has given hundreds of live presentations throughout North America, Europe, Asia, Africa and Australia in 15 countries, over 45 cities and 12 universities.
Miles is the founder and host of the original Value Investor Conference held each year immediately preceding the Berkshire Hathaway annual meeting. Attendees from all 6 continents enjoy this unique retreat style forum featuring presentations from Warren Buffett CEOs, global investment managers and best-selling authors.

In the fall of 2011, at the University of Nebraska at Omaha, Robert Miles began teaching a graduate Executive MBA course based on his worldwide lectures and titled The Genius of Warren Buffett: The Science of Investing and the Art of Managing. This one of a kind program includes a distinguished speaker series, multiple valuation case studies of actual businesses and stocks purchased by Warren Buffett, and for the final exam, student presentations of businesses they think would best fit into the Berkshire family of businesses.

Miles is an avid tennis player, an adventurist and world traveler. He has visited over 50 countries, with a goal to explore 5 new countries each year. Having circumnavigated the world two times, he enjoys presenting interactive multimedia travelogues, highlighting the people, their culture and local customs. While each of his published books require 2,000 hours of research, writing and editing, his professional and travel presentations take a minimum of 40 hours of preparation for each hour of lecture.

Miles is a graduate of the University of Michigan Business School and resides in Tampa, Florida.
http://www.robertpmiles.com

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

June 25, 2011 Master's degree Chulalongkorn University




จากเกียรตินิยมอันดับ 1
เนติบัณฑิต
ในวันนี้  Master's degree
ผมนึกถึงความสวยที่เรียบง่ายและสง่างาม

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ธงชัย ใจดี นักกอล์ฟไทยที่สมารถค้าวแชมป์ในยุโรปเป็นครั้งแรก

เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมากกับคนไทยที่สมารถค้าวแชมป์ในยุโรปเป็นครั้งแรกจากการแข่งขัน ISPS Handa Wales Openที่ The Celtic Manor Resort  City of Newport, ประเทศเวลส์  31 May 2012- 3 Jun 2012




วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Documentary Photography ภาพถ่ายสารคดี ( เรื่องที่ 3 )

บทความ โดย ภูมิกมล ผดุงรัตน์
article by Poomkamol Phadungratna


(ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารณัฐนลิน / แก้ไขสำหรับหนังสือศิลปะภาพถ่ายและภาพยนตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัย ฯ ปี 2548 / แก้ไขล่าสุดสำหรับ photo-history253 ปี 2550)

ภาพถ่ายสารคดีบันทึกเหตุการณ์ตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา
งานภาพถ่ายเชิงสารคดีครอบคลุมหลากหลายประเภท
มิได้จำกัดแค่ภาพถ่ายเกี่ยวกับชีวิตและสังคมเท่านั้น ภาพถ่ายสถาปัตยกรรม
ภาพถ่ายทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ภาพถ่ายธรรมชาติ ภาพถ่ายเชิงมานุษยวิทยา
ภาพถ่ายเดินทาง ท่องเที่ยว ภาพถ่ายทางดาวเทียม ล้วนแต่เป็นงานภาพถ่ายเชิงสารคดีทั้งสิ้น
วัตถุประสงค์หลักของภาพถ่ายประเภทนี้คือการบันทึกหลักฐานเอกสารเพื่อเก็บเป็นข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ..
ในฐานะสื่อทางภาพที่มีอิทธิพลต่อความคิดและอารมณ์ ขอบเขตของงานภาพสารคดี
จึงมิได้หยุดอยู่แค่การบันทึกข้อมูล หลักฐานเอกสารเท่านั้น นับแต่ปลายศตวรรษที่สิบเก้า
รูปแบบของภาพถ่ายสารคดีนำไปใช้ในการโน้มน้าวกระแสสังคม ทั้งการเมือง โฆษณาชวนเชื่อ
และสังคมให้ความเชื่อถือข้อมูลทางภาพถ่ายเสมอ
แม้ในบางครั้ง ..สิ่งที่อยู่ในภาพถ่ายอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
หรืออาจเป็นความจริงเพียงบางส่วน ..ซึ่งอาจนำสู่การเข้าใจผิดและบิดเบือน
แต่สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของช่างภาพ..

ช่างภาพสารคดี/ภาพข่าวมีหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ตามสภาพจริงที่เกิดขึ้นวินาทีนั้น
บันทึกอย่างตรงไปตรงมา แต่ช่างภาพก็สามารถบันทึกได้แค่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเท่านั้นเอง
ส่วนกระบวนการนำเสนอภาพต่อสังคมอยู่ในอำนาจของสำนักข่าว สำนักพิมพ์ หรือ รัฐบาล
ซึ่งแน่นอนว่าองค์กรเหล่านี้ย่อมมีแนวคิด วัตถุประสงค์ แม้กระทั่งผลประโยชน์ของตนที่ต้องคำนึงถึง

[เงื่อนไขทางวัฒนธรรม>

กล่าวกันว่า
วัฒนธรรมคือตัวกำหนดความคิดและการกระทำของคนในแต่ละสังคม
วัฒนธรรมถ่ายทอดผ่านศาสนา การศึกษา สื่อมวลชน จากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง
ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ นับแต่การกำเนิดภาพถ่ายและ
เทคนิคการพิมพ์สมัยใหม่ ..สื่อทางภาพเข้ามามีบทบาทต่อการรับรู้ของสังคม
มีอิทธิพลต่อโลกทัศน์ของประชาชน

นั่นหมายถึง สื่อทางภาพ เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของความเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม
วัฒนธรรมคืออำนาจ ..เมื่อวัฒนธรรมคือตัวกำหนดความคิดและการกระทำของสังคม
ตั้งแต่จะกินอยู่อย่างไร สวมเสื้อผ้ากันแบบใด นิยมสินค้าประเภทไหน มีทัศนะต่อสังคม
การเมือง ศาสนาในแง่มุมใด (หรือจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย)
ทั้งหมดนี้สั่งสมจากประสบการณ์ ผ่านการอบรมในครอบครัว ผ่านการศึกษา ผ่านศาสนา
ผ่านสื่อมวลชน บ่มเพาะจนเป็นแนวคิดและพฤติกรรมร่วมกันในสังคมเดียวกัน
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบังคับกันได้ ไม่สามารถสร้างขึ้นชั่วข้ามคืน จึงไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง
ไม่มีองค์กรใดองค์กรหนึ่งสามารถกำหนดกระแสความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม คือไม่
สามารถฝืนบังคับวัฒนธรรมให้ไหลไปตามใจปรารถนาของตนเองได้

ความเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพความเป็นอยู่ของสังคมนั้นเอง

อย่างไรก็ตาม กลไกของวัฒนธรรม หรือกลไกที่มีอิทธิพลกับความคิดและอารมณ์ของผู้คน
จะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเร้าความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไม่ว่าเป็นการเปลี่ยนตามกาลเวลา
หรือเป็นการเปลี่ยนก่อนเวลาอันควรก็ตาม โดยกระบวนการปลูกฝัง ตอกย้ำแนวคิดให้ซึมลึก
ภาพถ่าย..ในฐานะสื่อทางภาพอันเป็นกลไกสำคัญทางวัฒนธรรม
จึงมิได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการบอกเล่าเรื่องราว
หรือความบันเทิงเท่านั้น ..แต่ภาพถ่ายคือเครื่องมือแห่งอำนาจ –
อำนาจในการกระตุ้นเร้าความคิดและอารมณ์ของสังคม

ประกอบกับความเชื่อถือที่ว่าภาพถ่ายไม่โกหก ยิ่งทำให้ภาพถ่ายมีอิทธิพลมากขึ้น
ภาพถ่ายหนึ่งภาพสามารถทำลายชีวิตคนให้ย่อยยับได้ทั้งชีวิต สามารถสร้างกำลังใจแก่สังคม
ที่กำลังอ่อนล้า หรือจะทำให้คนในสังคมหันมาฆ่ากันเองในเรื่องที่ไม่เป็นจริงก็ได้ทั้งนั้น..

ขึ้นอยู่ที่องค์กรนั้นใช้ภาพถ่ายเป็นหรือไม่ ..หรือใช้ได้ดีเพียงใด
ผู้กุมอำนาจรัฐในอดีตเข้าใจศักยภาพของสื่อชนิดนี้เป็นอย่างดี
และใช้ภาพถ่ายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนช่างภาพสารคดี--ภาพข่าว
ในอดีตเองก็เข้าใจในอำนาจของสื่อที่ตนใช้อย่างดี และพยายามระมัดระวังอยู่เสมอ
จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า จรรยาบรรณของช่างภาพ ..
การที่ภาพถ่ายเกี่ยวข้องกับเรื่องของความคิด อารมณ์ อำนาจ
สิ่งนี้เย้ายวนให้งานภาพเชิงสารคดีเกิดมีพัฒนาการสู่อีกรูปแบบหนึ่งของศิลปะ
หมายความว่าช่างภาพ / ศิลปิน นำรูปแบบของงานสารคดีไปใช้ในงานศิลปะ
(โดยดูเหมือนภาพสารคดี หรืออาจเป็นภาพสารคดี แต่มิได้เน้นที่เรื่องราวของเหตุการณ์ในภาพ
หันมาเน้นที่แนวคิดส่วนตัวของผู้สร้างงานเป็นสำคัญ )
สำหรับภาพสารคดีประเภทที่ผู้คนคุ้นเคยกันมากที่สุด มักเป็นภาพเกี่ยวกับชีวิตและสังคม
ภาพสารคดีชีวิตและสังคมเกี่ยวข้องกับ ความคิด อารมณ์ อำนาจ มากที่สุด -- มากกว่าสารคดีแนวอื่น
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ลองนึกถึงภาพถ่ายทางการแพทย์ หรือภาพโคลส-อัพของลำไส้ใหญ่
คงไม่สามารถกลายเป็นประเด็นทางการเมืองได้

[ภาพถ่ายชีวิตและสังคม>

อัลมา ดเวนพอร์ต ( Alma Davenport ) ยกตัวอย่างในหนังสือ
The History of Photography
ว่าระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมสองฝั่งทวีปอเมริกาเหนือ ช่างภาพทั่วไปตื่นเต้นกับเครื่องจักรกล
ขบวนรถไฟและเทคโนโลยีทันสมัย แต่ช่างภาพสารคดีเกี่ยวกับชีวิตและสังคมกลับให้ความสนใจ
กับสภาพชีวิตของกรรมกรและความเป็นอยู่ระหว่างการก่อสร้างมากกว่า ( Chapter 4,
Social Document , page 41 )

สังคมยอมรับว่าภาพถ่ายนำเสนอความเป็นจริงเสมอ
แม้ความจริงบางอย่างก็ยากที่จะยอมรับ

ในปี ค.ศ.1850 เฮนรี่ เมฮิว ( Henry Mayhew ) ร่วมกับ
ริชาร์ด เบียร์ด ( Richard Beard ) ตีแผ่ชีวิตกรรมกรและผู้ยากไร้แห่งนครลอนดอน
ในหนังสือชื่อ London Labour and London Poor
แต่ทว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ขณะนั้นไม่สามารถตีพิมพ์ภาพถ่ายได้
จึงต้องใช้กระบวนการ wood engraver ลอกลายจากภาพถ่ายต้นฉบับลงบนแท่นพิมพ์
ซึ่งทำให้ภาพในหนังสือขาดความสมจริง ..เมื่อเปรียบเทียบกับหนังสือ Street of London ของ
ช่างภาพ จอห์น ทอมสัน ( John Thomson ) ร่วมกับ อดอลฟี่ สมิธ ( Adolphe Smith )
ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1870 ซึ่งใช้กระบวนการ photomechanical transfer process
สามารถพิมพ์ออกมาได้ใกล้เคียงภาพถ่าย

อัลมา ดเวนพอร์ต ให้ความเห็นว่าหนังสือเล่มแรก London Labour and London Poor
ไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมยุคนั้น เพียงเพราะภาพประกอบไม่สมจริง คนจึงไม่เชื่อว่าเรื่องราว
นั้นเกิดขึ้นจริง ขณะที่อีกเล่ม Street of London มีภาพที่เสมือนจริงกว่าคนจึงเชื่อมากกว่า
กล่าวได้ว่าข้อจำกัดทางเทคโนโลยีเป็นเหตุปัจจัย

อย่างไรก็ตาม..ลองมองอีกแง่มุมหนึ่ง
ความยากจนในทุกสังคมมิได้ซุกซ่อนอยู่ตามป่าเขา แต่ส่วนมากมักอยู่ในเมืองใหญ่
และสามารถเห็นได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะนครลอนดอนยุควิคตอเรี่ยน ซึ่งมีโสเภณีเกลื่อน
ทุกมุมเมือง เป็นได้หรือไม่ว่า สังคมเองนั่นแหละที่ปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ สังคมเลือกที่จะ
ไม่เชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ( แล้วโทษว่าภาพไม่เหมือนจริง ) ขณะที่หนังสือ
Street of London ของ จอห์น ทอมสันสามารถนำเสนอภาพเสมือนจริง
จนไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป

ในสมัยเดียวกันนั้น ผู้คนหลั่งไหลสู่อเมริกา ส่วนมากมาจากยุโรปตะวันออก
เมื่อไปถึงอเมริกาแล้วก็ไม่มีที่ไหนให้ไป ไม่มีงานให้ทำ อยู่แออัดกันในเมืองนิวยอร์คจนกลายเป็นสลัม
ยิ่งนานวัน สภาพยิ่งเลวร้าย ..จาคอบ รีส์ ( Jacob Riis ) นักข่าว / ช่างภาพ
มีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นอย่างดี ในฐานะที่เขาเองเคยเป็นผู้อพยพมาก่อน
เขาเข้าใจว่าชีวิตคนเหล่านี้ลำบากอย่างไร บทความของเขาเขียนเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์
นิวยอร์ค แฮโรล ( New York Herald ) บรรยายชีวิตรันทดของผู้อพยพ
เมื่อสังคมรับทราบ แทนที่จะเห็นใจ..กลับตั้งข้อสงสัยว่าอะไรมันจะโหดร้ายปานนั้น

จนกระทั่งเขาเริ่มบันทึกด้วยภาพถ่าย และตีพิมพ์หนังสือ
How The Other Half Lives , Studies Among the
Tenements of New York ( ปี ค.ศ. 1890 )
จึงเกิดกระแสสังคมเคลื่อนไหวเรื่องคุณภาพชีวิตในเมืองใหญ่ขึ้นมา

ภาพถ่ายเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือเสมอ
บ่อยครั้งที่ภาพถ่ายก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคม (ในแง่บวก)
ผลงานของ เดวิด ออคตาเวียส ฮิล ( David Octavius Hill ) /
โรเบิร์ต อดัมสัน ( Robert Adamson ) บันทึกชีวิตชาวประมงในเมืองนิวฮาเวน
สก็อตแลนด์ ( New Haven, Scotland ) ในปี ค.ศ. 1845
ผ่านบรรยากาศอันงดงาม เรือประมงเก่าๆ กระตุ้นเร้าความสนใจของชาวเมือง และเริ่มกลายเป็น
การเอาใจใส่ต่อคุณภาพชีวิตของชาวประมงท้องถิ่น

หรือผลงานของ ลิวอิส ไฮน์ ( Lewis w. Hines ) ซึ่งแอบบันทึกสภาพชีวิตในโรงงาน
การกดขี่แรงงานเด็ก ..ภาพถ่ายของเขาช่วยผลักดันให้เกิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
และการปกป้องสิทธิเด็กในอเมริกา

นับแต่ปลายศตวรรษที่สิบเก้าเรื่อยมา
ภาพถ่ายกลายเป็นสื่อสำคัญสำหรับโน้มน้าวกระแสสังคม
ช่างภาพผู้มีอุดมการณ์ต่อสู้กับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นมากมาย และสามารถสร้างความ
เปลี่ยนแปลงได้หลายต่อหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าความเสมือนจริงของภาพถ่ายจะ
น่าเชื่อถือเสียทั้งหมด หลายครั้งการตัดต่อภาพเพื่อบิดเบือนเรื่องราวหรือเพื่อสร้างอารมณ์เกินจริง
มีส่วนทำลายความน่าเชื่อถือของสื่อภาพถ่ายลงไปไม่น้อย อย่างเช่นงานโฆษณาชวนเชื่อของ
ยูจีน แอปเพิร์ต ( Eugene Appert ) ปี ค.ศ. 1871
หรือภาพตัดต่อในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ( Bangkok Post ) และ
หนังสือพิมพ์ดาวสยาม ปี 2519 / ค.ศ.1976 เพื่อยั่วยุให้เกิดความรุนแรง กลายเป็นการนองเลือด
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หรือแม้แต่ในปี พ.ศ. 2550 ที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้นำภาพถ่าย
เวที นปก ที่ท้องสนามหลวงมาบิดเบือน ตัดต่อภาพ โดยเติมถ้อยคำลงไปในลักษณะไม่สมควร
อันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรืออาจลุกลามเป็นการนองเลือดอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้
ต่างกันที่ในปัจจุบัน พ.ศ. 2550 นี้ ประชาชนและชาวอินเตอร์เนตจำนวนไม่น้อย
มีความรู้เท่าทัน ไม่หลงกลกันง่ายๆ อีกทั้งทุกคนมีกล้องถ่ายภาพดิจิตอล
มีโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพได้ ..จึงมีการนำภาพถ่ายสถานที่จริงมาเปรียบเทียบ
กับภาพถ่ายหลอกลวงที่เผยแพร่โดยสื่อสารมวลชน
.
ในบางกรณี ช่างภาพมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่ตนบันทึกมากเกินไป
จนสังคมเกิดเคลือบแคลงใจในความน่าเชื่อถือของภาพถ่ายเหล่านั้น
อย่างเช่นงานสารคดีของ เอฟ เอส เอ ( FSA / Farm Security Administration )
ที่นำเสนอความทุกข์ยากของเกษตรกรอเมริกันในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ


การทำงานของช่างภาพสารคดีต้องบันทึกเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา
นั่นคือ ไม่ใช้เทคนิคพิเศษทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นบิดเบือนจากความจริง ไม่มีการจัดฉาก
ไม่จ้างคนมาแสดง (เรื่องนี้มีช่างภาพแอบทำกันมาก แต่หากไม่ได้สร้างความเสียหาย-
บิดเบือนเกินไป คนส่วนมากมักให้อภัย) การทำงานของช่างภาพสารคดีและช่างภาพข่าว
ในแง่ของวัตถุประสงค์แล้วอาจไม่แตกต่างกันเลย ความแตกต่างระหว่างช่างภาพสองสาขา
คือ ระยะเวลาการทำงาน และความลึกของงาน

ภาพข่าวที่ดีอาจต้องการภาพเพียงภาพเดียวเท่านั้น
แต่งานสารคดีต้องอาศัยเวลาเจาะลึกในหัวข้อนั้นๆ ต้องมีภาพจำนวนมาก
แม้มีภาพที่โดดเด่นหนึ่งภาพ ก็เป็นแค่ภาพที่ดีภาพหนึ่งเท่านั้น
มิได้หมายความว่าเป็นงานภาพถ่ายสารคดีที่มีคุณภาพ เช่นเหตุการณ์โป๊ะล่มที่ท่าน้ำพรานนก
เมื่อหลายปีก่อน เพียงภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยดึงศพเด็กนักเรียนขึ้นจากน้ำ (หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์)
ภาพเดียวเท่านั้น -- ถือเป็นภาพข่าวที่สมบูรณ์ที่สุด ทั้งบอกเล่าเรื่องราวความสะเทือนใจในเวลา
เดียวกัน แต่หากเป็นงานภาพสารคดี ช่างภาพต้องทำการกำหนดขอบเขตงาน (เช่น เจาะลึกในเรื่อง
ความปลอดภัยของท่าน้ำในกรุงเทพ เป็นต้น) ช่างภาพสารคดีต้องเฝ้าบันทึกสภาพการณ์ต่างๆ
และต้องจมอยู่กับหัวข้อนั้นเป็นเวลานาน


การที่ช่างภาพสารคดีต้องใช้เวลาอยู่กับเรื่องราว
หลายครั้งนำสู่ความผูกพันกับสิ่งที่ตนกำลังบันทึก จนสูญเสียความเป็นกลางไป
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของช่างภาพสารคดี

แต่หากเกิดกรณีเช่นนี้กับช่างภาพข่าวอาจเป็นปัญหา
อีกทั้งปัญหาเรื่องจรรยาบรรณวิชาชาชีพ ..อีกมากมาย (กรณีในต่างประเทศ)
แต่สำหรับช่างภาพสารคดี..หากช่างภาพสารคดีจะแอบเคลื่อนย้ายวัตถุในภาพเพื่อองค์ประกอบ
ที่ดีกว่า ถ้าไม่เป็นการบิดเบือนจนเกินไปก็สามารถทำได้ ถึงจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าใดนัก และอาจ
ทำให้เกิดความคลางแคลงใจเรื่องความน่าเชื่อถือในผลงาน รวมทั้งความจริงที่นำเสนอบ้าง
มากน้อยขึ้นอยู่กับประเด็นที่เกี่ยวข้อง แต่สำหรับช่างภาพข่าวแล้วทำแบบนี้ไม่ได้เลย
(ยกเว้นข่าวสังคม ดารา บันเทิงซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่ยอมรับว่าเป็นเรื่องโกหกมาแต่ต้น)

ภาพถ่ายสารคดีมิได้ยืนอยู่บนหลักสุนทรียศาสตร์ทั่วไป

เนื้อหาของงานข่าว / งานสารคดี อยู่ที่เหตุการณ์ในภาพ เป็นเรื่องของจังหวะกับเวลา
นำเสนอผ่านประสบการณ์อันช่ำชองของช่างภาพ (และบ่อยครั้งที่เป็นความบังเอิญ)
เมื่อทุกอย่างต้องเป็นเรื่องจริง -- ในช่วงเวลาจริง โอกาสที่จะมานั่งปั้นแต่งองค์ประกอบภาพนั้น
แทบเป็นไปไม่ได้เลย ..ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ช่างภาพมีเวลาคิด ตัดสินใจ และประมวลผล..
อย่างนานสุดแค่ 1/125 วินาทีเท่านั้น ความสมบูรณ์ทางเทคนิคหรือองค์ประกอบภาพ
จึงมิใช่ปัจจัยหลักในการพิจารณาภาพถ่ายสารคดี / ภาพข่าว

อย่างไรก็ตามมิได้หมายความว่าสิ่งนี้ไม่สำคัญ
สำหรับช่างภาพที่เปี่ยมประสบการณ์ ย่อมสามารถควบคุมปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ได้ดี
ในเกือบทุกสถานการณ์ อีกประการหนึ่ง ความสมบูรณ์ทางเทคนิคมีผลต่อการสื่อสาร
กับคนดู หากภาพไม่สามารถสื่อความหมายได้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ในยุคแรก องค์ประกอบภาพถ่ายเดินตามแนวทางจิตรกรรมเป็นหลัก แต่เมื่ออุปกรณ์การ
ถ่ายภาพมีความคล่องตัวมากขึ้น กล้องมีขนาดเล็กลง ฟิล์มมีความ ไวแสงมากขึ้น
หลักสุนทรียศาสตร์ภาพถ่ายก็เปลี่ยนตามไปด้วย การถ่ายจากมุมสูง มุมต่ำ การแอบถ่าย
ภาพเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาลางๆในบางส่วน การมีวัตถุโผล่ขึ้นมาบังอยู่ตรงฉากหน้า
หรือการมีสิ่งแปลกปลอมในฉากหลัง เหล่านี้กลายเป็นเสน่ห์ของภาพสารคดี
รวมทั้งภาพถ่ายแนวสเตรท (straight photography) ในยุคหลัง
.
การบันทึกภาพอย่างรวดเร็ว ตรงไปตรงมา ไม่เสริมแต่ง เน้นชีวิตในแง่มุมต่างๆ
รูปแบบงานภาพสารคดีดังนี้ได้พัฒนาไปสู่งานภาพถ่ายอีกประเภทหนึ่ง
คือ street photography หรือ ภาพถ่ายชีวิตข้างถนน ซึ่งเหมือนการผสมผสาน
ระหว่างงานภาพข่าวและภาพสารคดี บ่งบอกจุดยืนของลัทธิศิลปะสมัยใหม่ ( modernism )
ในงานภาพถ่ายสมัยใหม่ ( modern photography ) อย่างชัดเจน
ในเชิงปรัชญา ภาพถ่ายแนวนี้ยังแยกย่อยออกไปอีก
อองรี คาทิเอ เบรซง (Henri Catier Bresson) ช่างภาพชาวฝรั่งเศส
เสนอแนวคิด decisive moment หรือแปลเป็นไทยพอได้ว่า วินาทีแห่งการตัดสินใจ
อันมีที่มาจากเรื่องราวของจังหวะ เวลา โอกาส บวกประสบการณ์
กระบวนความคิด และวิธีนำเสนอของช่างภาพแต่ละยุคสมัย
เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและเทคโนโลยี แต่วัตถุประสงค์หลักไม่เคยเปลี่ยนไป
นั่นคือการบันทึกเหตุการณ์ตามสภาพจริงที่เป็นอยู่ และความงามของภาพถ่ายสารคดี
อยู่ที่เรื่องราวชีวิต มิใช่หลักองค์ประกอบศิลป์ หรือสุนทรียศาสตร์ที่สมมุติกันขึ้นมา

การถ่ายภาพเชิงสารคดี (เรื่องแนะนำ ยาว ๆ แต่น่าอ่านน่ารู้ครับ)

งานเขียน สารคดีคือการนำเอาข้อเท็จจริงที่เป็นข้อมูลความรู้ในเชิงวิชาการ มาเรียบเรียงเขียนให้อ่านง่ายขึ้น โดยใช้เทคนิคของงานวรรณกรรมเข้ามาช่วย ให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการตัดสิน เพื่อให้เข้าถึงความดี ความจริง และความงามด้วยตนเอง บางครั้งการใช้ตัวอักษรเป็นสื่อเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถบอกเล่า “สาร” หรือเรื่องราวได้ทั้งหมด ภาพถ่ายจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของงานเขียนสารคดี และอาจสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวหนังสือเลย ดังคำกล่าวที่ว่า “ภาพหนึ่งภาพ แทนคำล้านคำ”

ภาพถ่ายเชิงสารคดีจำเป็นจะต้องดำเนินไปพร้อมเนื้อ เรื่อง เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และในบางกรณีภาพถ่ายสารคดีก็อาจจำเป็นต้องอาศัยเนื้อเรื่องมาสนับสนุนให้ภาพ สมบูรณ์ ช่างภาพสารคดีจึงมักจะต้องลงพื้นที่พร้อมกับนักเขียน หรือบางครั้งก็อาจต้องลงพื้นที่ด้วยตนเอง

การถ่ายภาพในเชิงสารคดีก็ เช่นเดียวกับงานเขียนสารคดี คือ การบันทึกปรากฏการณ์ ข้อเท็จจริงเพื่อบอกเล่าความจริง ตามความเป็นจริง โดยไม่บิดเบือน และไม่ถ่ายภาพนำความคิดหรือความรู้สึกของผู้คน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เช่น เรื่องเกี่ยวกับการเมือง ศาสนา และความเชื่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีการเล่าเรื่องก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ต้องการจะเล่าด้วย หากเป็นประเด็นละเอียดอ่อน หรือเป็นปรากฏการณ์ที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในสังคม ช่างภาพจำเป็นจะต้องถ่ายทอดข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ถ่ายภาพให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยไม่ใช้เทคนิคหรือจัดภาพที่ผิดธรรมชาติ แต่หากเป็นประเด็นที่ชัดเจนแล้ว อย่างเช่น ยาเสพติด เด็กเร่ร่อน อุบัติภัย ฯลฯ ช่างภาพอาจต้องถ่ายทอดให้เห็นอารมณ์ ความรู้สึกในภาพ เพื่อให้คนดูรู้สึกร่วมกับภาพและเรื่องนั้นได้

เทคนิคของการถ่ายภาพ เชิงสารคดีไม่ได้แตกต่างกับการถ่าย ภาพทั่วไป แต่การถ่ายภาพสารคดีจำเป็นจะต้องอาศัยการ “ทำการบ้าน” คือการหาข้อมูลและพูดคุยกับนักเขียนและบรรณาธิการให้ชัดเจน ถึงขอบเขตแค่ไหน เมื่อถึงเวลาลงพื้นที่จะได้ทำงานได้ตรงตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะงานสารคดีบางเรื่องจำเป็นจะต้องลงพื้นที่ถ่ายภาพหลายครั้ง ตามแต่โอกาสและฤดูการ บางเรื่องอาจต้องลงเป็นทีม หรือใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น สารคดีสัตว์ป่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นต้น
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:28] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
ความแตกต่างระหว่างข่าวกับสารคดี*

คำ ว่า “สารคดี” นั้นให้คำจำกัดความได้ยาก เพราะมีลักษณะแตกต่างหลากหลาย และครอบคลุมกว้างมากตั้งแต่เรื่องของบุคคลสำคัญจนถึงเรื่องเหลือเชื่อของ เหตุการณ์ผิดปรกติต่าง ๆ รวมทั้งคำอธิบายซึ่งบางครั้งต้องการสั้น ๆ แต่บางครั้งก็อาจต้องใช้ข้อเขียนที่มีความยาวมาก ๆ ก็ได้ แต่ที่เห็นได้ชัดคือเรื่องที่นำเสนอในรูปแบบของสารคดีจะไม่คำนึงถึงความสด ใหม่ คือ ไม่นำคุณค่าเรื่องเวลามาเป็นตัวกำหนด บางเรื่องใช้ได้เป็นเวลานานและก็ยังรู้สึกใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ

สิ่ง ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างข่าวและสารคดีไม่ชัดเจน คือ ข่าวบางข่าวถูกนำเสนอด้วยวิธีการของสารคดี เช่น ถ้านำเสนอภาพของผู้ชนะการแข่งขันฟุตบอลหรือผู้เล่นสำคัญที่ทำให้ทีมชนะและผล การแข่งขันก็อาจเป็นข่าว แต่ถ้านำเสนอในแง่ความกดดันของนักกีฬาหรือผู้เล่นคนสำคัญที่ทำให้ทีมชนะหรือ ผู้ชนะก็จะเป็นสารคดี อย่างไรก็ตามลักษณะสำคัญของสารคดีอาจดูได้จาก

1. ไม่มีกาลเวลา (Timelessness) สารคดีส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณค่าเพราะความทันต่อเวลาหรือความสดใหม่ แต่มักทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเรื่องนั้นสดใหม่และทันสมัยอยู่เสมอ ต่างจากภาพข่าวที่ต้องเป็นเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ แต่จะเก่าและล้าสมัยอย่างรวดเร็ว

2. เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต (Slice of Life) ถ้าเป็นภาพข่าวคุณค่าของภาพจะมีมากขึ้นถ้าซับเจคมีชื่อเสียง และกิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความสำคัญหรือรุนแรงซึ่งก่อให้เกิด ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น สะเทือนใจ หรือเศร้าสลด แต่สารคดีจะตรงกันข้าม เพราะสารคดีจะบันทึกสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ หรือสิ่งของธรรมดา ๆ ที่เห็นได้หรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือการออกกำลังกายในสวนสาธารณะ

3. สารคดีจากข่าว (Featuring the News) เมื่อเกิดความเสียหายร้ายแรงจากไฟไหม้ ภาพข่าวอาจถ่ายให้เห็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และอาสาสมัครกำลังช่วยชีวิตผู้ประสบภัย โดยมีอาคารที่ถูกไฟไหม้เป็นพื้นหลัง และบรรยายความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ พร้อมรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่สารคดีจากข่าวหรือสารคดีเชิงข่าว (news feature) นั้น อาจถ่ายภาพตำรวจดับเพลิงที่กำลังช่วยชีวิตสุนัขและตีพิมพ์คู่กันกับภาพผู้ บาดเจ็บ และความเสียหายของอาคารโดยทั่วไป

นักเขียนบางคนให้คำนิยามคำ ว่า “สารคดี” ว่าหมายถึงอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข่าว แต่แม้ว่าสารคดีจะรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่ข่าวหรือกีฬา แต่การแยกและระบุประเภทว่าหมายถึงอะไรบ้างนั้นทำได้ยาก เพราะมีหมวดหมู่กว้างขวางมาก ที่สำคัญกว่าการแยกและระบุประเภทคือต้องรู้ว่า จะนำเสนอด้วยวิธีใดจึงจะทำให้ผู้ดูสนใจ
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:28] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
คุณสมบัติของช่างภาพสารคดี

ช่าง ภาพสารคดี ที่ดีควรมีคุณลักษณะที่ ไวต่อความรู้สึก (sensitive) เช่น รู้สึกถึงความพอใจหรือไม่พอใจของซับเจค มีความเมตตา (compassionate) ทรหดอดทนต่อความยากลำบาก (patient) อดทนอดกลั้น (tolerant) ต่อความกดดันต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ อยากรู้อยากเห็น แต่ไม่สอดรู้สอดเห็น (nosey) เข้ากับผู้คนทุกประเภทได้ง่าย เด็ดขาดในการตัดสินใจและหนักแน่น (assertive) แต่ไม่ก้าวร้าว

นอกจากคุณลักษณะประจำตัวดังกล่าวแล้ว ช่างภาพสารคดีที่ดีควรมีความรู้ ความเข้าใจและทักษะต่าง ๆ ต่อไปนี้ด้วย คือ

1. ต้องรู้จักผู้อ่าน วิธีที่จะทำให้รู้จักหรือเข้าใจผู้อ่านในขั้นแรกคือดูว่าภาพถ่ายให้หนังสือ พิมพ์ประเภทไหน เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย หรือสิ่งพิมพ์เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะประเภทของหนังสือพิมพ์จะช่วยให้ทราบประเภทของผู้อ่านที่มีความต้องการ และความสนใจแตกต่างกัน

2. ต้องมีความรู้เรื่องเนื้อหาข่าวสาร (message) งานของช่างภาพคือการบอกผู้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นก่อนที่จะบอกหรือสื่อสารเรื่องราวตาง ๆ ไปยังผู้ดูหรือผู้อ่าน ช่างภาพต้องเข้าใจและรู้เรื่องที่เกิดขึ้นดีกว่าและมากกว่าคนอื่น ๆ การเริ่มต้นด้วยการสำรวจวิจัย (research) และหาข้อมูลด้วยการอ่านและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้รู้หรือผู้เกี่ยวข้อง ต่าง ๆ ให้มากที่สุดก่อนลงมือทำงานก็เป็นวิธีที่ดี

3. ต้องมีทักษะหรือความสามารถในการคาดหมาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ

3.1 การคาดหมาย ในระยะเวลาที่ยาวนานหรือแนวโน้มต่าง ๆ (trend) เช่น สังเกตเห็นความผิดปรกติของลมฟ้าอากาศที่ร้อนมากขึ้นทุกปี หรือผู้คนในชุมชนเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่างภาพอาจต้องคิดล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง

3.2 การคาดหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ (specific event) ในระยะเวลาไม่นานนัก เช่นใน ก่อนเปิดภาคเรียนก็คาดหมายได้ว่าเมื่อถึงเวลาปิดภาค ผู้ปกครองและบุตรหลานจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง จึงควรเตรียมตัวและเครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือแค่วันเดียว เพื่อให้พร้อมที่จะทำงานได้ทันทีเมื่อมีกิจกรรมหรือเกิดเหตุการณ์ขึ้น

3.3 การคาดหมายขณะอยู่ในเหตุการณ์นั้น (moment within event) หมายถึงสัญยชาติญาณในการคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวินาทีนั้น

4. ต้องแสดงให้เห็นผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับผู้คน เมื่ออยู่ในเหตุการณ์อย่าลืมถ่ายภาพที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวที่ต้อง การจะบอกหรือสื่อสารไปยังผู้ดูหรือผู้อ่าน และที่สำคัญควรถ่ายภาพให้เห็นว่ากิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสร้าง ผลกระทบโดยตรงต่อพวกเขาอย่างไร
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:29] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
การปฏิบัติตน

อาชีพ ช่างภาพวารสารศาสตร์ (Photojournalist) เป็นอาชีพที่ต้องพบปะพูดคุยติดต่อสื่อสารกับผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลาย เช่น คนขี้อาย เห็นแก่ตัว จู้จี้ ชอบทำตัวเป็นนาย (bossy) หรือกับคนที่ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและได้รับความร่วมมือด้วยดี การเข้าใจลักษณะนิสัยของผู้คนที่แตกต่างเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อ ให้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและได้รับความร่วมมือด้วยดี เช่น ควรทราบว่าคนขี้อายมักไม่ค่อยชอบพูดคุยหรือเปิดใจ จึงควรใช้วิธีพูดคุยให้เกิดความคุ้นเคยและมั่นใจก่อนเริ่มถ่ายภาพ บางครั้งอาจต้องใช้เวลานานและคุยจนแน่ใจว่าเขาเข้าใจ ไว้ใจ และยอมรับ จึงนำกล้องออกจากกระเป๋าได้ แต่ถ้าพบกับคนจู้จี้หรือชอบทำตัวเป็นนาย ก็ควรปล่อยให้เขาคิดว่าเขาเป็นนาย ด้วยการยอมให้เขาสั่งหรือกำหนดว่าควรถ่ายภาพอย่างไรแลถ่ายตามที่เขาบอกสัก 2-3 ภาพ (ซึ่งบางครั้งก็อาจได้ความคิดใหม่ ๆ เหมือนกัน) แล้วจึงขอถ่ายภาพตามที่ตนเองต้องการภายหลัง

เนื่องจากงานของช่างภาพ ไม่ใช่การเปลี่ยนความเห็นหรือทัศนคติของใคร ๆ เมื่อพบกับผู้คนที่มีนิสัยแตกต่างกันจึงต้องหลีกเลี่ยงการโต้แย้งหรือถก เถียง พยายามให้ซับเจคพูดถึงตัวเองทั้งสิ่งที่เขาคิดและสิ่งที่เขาทำ โดยช่างภาพต้องไม่พูดถึงตัวเองไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือแนวคิดใด ๆ ก็ตาม ที่ต้องระวังคือ ต้องไม่พูดคุยหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ศาสนา หรือปรัชญาที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในสังคม

เมื่อต้องเจอ กับซับเจคที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เช่น บอกว่าไม่มีเวลา ก็ควรขอเวลาเท่าที่เขาให้ได้ เช่น 5 นาที และต้องพยายามถ่ายให้เสร็จ เมื่อครบเวลาก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว บางครั้งการกระทำและคำพูดแบบนี้ก็ทำให้ซับเจคพอใจ และมีอยู่บ่อย ๆ ที่ซับเจคให้เวลามากกว่าที่กำหนดไว้ แต่ในกรณีที่ไม่ได้รับความร่วมมือจริง ๆ เพราะซับเจคตกเป็นข่าวในทางลบ อาจต้องอาศัยโอกาสหรือจังหวะที่ซับเจคลงจากรถหรือออกจากตัวอาคารแทน
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:30] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าถ่ายภาพเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องเรียน ซึ่งมีความอยากรู้อยากเห็นและมีความสนใจช่างภาพมาก ควรบอกว่าตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไร และเพื่อให้ความอยากรู้อยากเห็นและความต้องการถ่ายภาพลดลง บางทีอาจต้องถ่ายภาพหมู่สัก 2-3 ภาพ และปล่อยให้พวกเด็ก ๆ จ้องมอง ทำท่าต่าง ๆ ใส่กล้องสักพัก เมื่อถึงเวลาถ่ายจริงอาจต้องบอกพวกเขาว่าถ้าอยากมีตัวเองอยู่ในภาพ ต้องทำเป็นไม่เห็นกล้อง ถ้ายังมีปัญหาและมีเวลาพอควรปล่อยให้เวลาผ่านไปสัก 10-20 นาที เด็ก ๆ ก็จะเคยชินกับกล้องและเลิกสนใจหรืออาจหันไปสนใจอย่างอื่นแทน

อย่างไร ก็ตามโดยทั่วไปแล้ว เด็กเป็นซับเจคที่ถ่ายได้ง่ายเพราะดูน่ารัก เป็นธรรมชาติและจะทำท่าทางแปลก ๆ หรือทำสิ่งที่ดูไร้เดียงสาโดยไม่ต้องบอกให้ทำ เด็กบางคนชอบทำเลียนแบบผู้ใหญ่ เช่น ทาลิปสติก ใส่รองเท้าส้นสูงของแม่ หรือสวมหมวกของพ่อ ฯลฯ

อูลริค เวลสช์ (Ulrike Welsch) ผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพเด็กที่ถ่ายภาพให้ บอสตัน โกลบจะขออนุญาติผู้ปกครองก่อน ถ้าผู้ปกครองไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้นก็จะขอให้เด็กพาไปหา เวลสช์บอกว่า เพราะไม่ต้องการให้ผู้ปกครองสงสัยและขัดจังหวะการถ่ายภาพ แม้การกระทำเช่นนี้จะขัดจังหวะการทำกิจกรรมของเด็กอยู่บ้าง แต่เด็กก็จะได้กลับไปเล่นหรือทำกิจกรรมใหม่อย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ

นอก จากเด็กแล้ว สัตว์ยังเป็นซับเจคที่ถูกนำเสนอเป็นสารคดีมากที่สุด คนรักสัตว์มักปฏิบัติต่อสัตว์เหมือนเป็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เพราะเชื่อว่าสัตว์เลี้ยงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ จึงฝึกให้ทำท่าทางเหมือนคน เช่น นั่ง นอนบนเตียง สูบบุหรี่ กินไอศกรีม ยิ้ม ฯลฯ คุณสมบัติเฉพาะตัวหรือท่าทางแปลก ๆ เหล่านี้ เป็นวัตถุดิบสำหรับงานสารคดีได้ดี
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:31] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
การถ่ายภาพเชิงสารคดีไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเด็ก สัตว์ และสวนสาธารณะ ยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่ถูกนำมาถ่ายภาพสารคดี แม้แต่สิ่งที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ (incongruous) ก็สามารถนำมาถ่ายเป็นภาพสารคดีที่น่าสนใจได้ เช่น ภาพพระถือปืน ทหารชุดพรางสะพายกล้อง หรือคนนอนอาบแดดข้าง ๆ หลุมฝังศพ เป็นต้น

ลักษณะของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำมาถ่ายทำเป็นสารคดีได้ดีคือ

- เหตุการณ์ครั้งแรก การกระทำหรือเหตุการณ์ครั้งแรกหมายถึงความไม่ไม่ประสบการณ์ ความตื่นเต้น ความวิตกกังวลหรือประหม่า (nervous) ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย หรืออาจมีความหมายพิเศษ เช่น การไปโรงเรียนวันแรกของเด็กอนุบาล การเข้าค่ายลูกเสือครั้งแรก หัดเล่นสเก็ตน้ำแข็งครั้งแรก หรือหัดเต้นรำวันแรก เหตุการณ์เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นสารคดีที่ดีเพราะมักได้รับความสนใจจาก ผู้อ่าน

- งานที่ไม่ธรรมดา (unusual) งานที่อยู่แต่ในห้องทำงานหรือหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลามักไม่ค่อยน่าสนใจ ต่างจากงานบางประเภท เช่น คนเช็ดกระจกอาคารสูง คนขี่ม้าพยศ นักกายกรรม นักบินทดสอบ คนงานในโรงงานผลิตรถยนต์ ฯลฯ ภาพการทำงานเหล่านี้ทำให้สารคดีเป็นที่น่าสนใจและสร้างความประทับใจได้ง่าย เพราะเป็นงานที่คนน้อยคนจะได้เห็นหรือสัมผัสและคนจำนวนมากอยากรู้

- วันพิเศษ (special day) วันพิเศษสร้างเป็นเรื่องราวสารคดีได้ง่าย เช่น วันพ่อ วันแม่ วันเด็ก วันปีใหม่ วันสตรีสากล วันเอดส์โลก แต่ต้องระวังเรื่องที่อาจสร้างความไม่พอใจแก่ผู้คนได้ เช่น เรื่องของคนป่วย โรคเอดส์ที่อาจสร้างความไม่พอใจให้กับญาติของผู้ป่วยหรือทำให้ผู้คนเกิดความ ตระหนกเกินความจำเป็น

เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายภาพได้ครอบคลุม เหตุการณ์และใช้งานได้ดี ช่างภาพควรถ่ายภาพแบบพื้นฐานทั้ง 3 ระยะ คือ ระยะไกล (long shot) ระยะปานกลาง (medium shot) และระยะใกล้ (close-up shot) ไว้ด้วยทุกครั้ง

- ถ่ายระยะไกล เพื่อให้เห็นสถานที่หรือทำเลทั้งหมดอย่างกว้าง ๆ เพื่อให้ผู้ดูเห็นความสัมพันธ์ ขนาดและมาตราส่วนของสิ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ

- ถ่ายระยะปานกลาง ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างซับเจคกับส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อมบางส่วน

- ถ่ายระยะใกล้ เพื่อเน้ให้เห็นรายละเอียดที่ต้องการเน้น ซึ่งบางทีก็อาจเห็นแค่ใบหน้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของวัตถุหรือซับเจคเท่านั้น

การ จะถ่ายระยะใกล้หรือไกลแค่ไหนและถ่ายอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเรื่องที่ กำหนดหรือขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ควรถ่ายแค่ระยะพื้นฐาน 3 ระยะนี้เท่านั้น แต่ควรถ่ายจากมุมต่าง ๆ ให้หลากหลายด้วย เช่น มุมสูง มุมต่ำ แนวตั้ง แนวนอน ฯลฯ

นอกจากต้องถ่ายให้ครอบคลุมเหตุการณ์แล้ว ยังต้องถ่ายภาพที่สามารถบอกเล่า เรื่องราวที่เป็นหัวใจของเหตุการณ์นั้นให้ได้ด้วย (ถ้าเป็นภาพข่าวอาจเป็นภาพเดียว แต่ถ้าเป็นภาพสารคดีอาจใช้มากกว่า 1 ภาพ) ช่างภาพจึงต้องหาจังหวะหรือรอวินาทีที่องค์ประกอบต่าง ๆ มารวมอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด จังหวะหรือวินาทีสำคัญที่ว่านี้เรียกว่า “พีค โมเมนต์” (peak moment) ซึ่งการถ่ายภาพในช่วงวินาทีที่สำคัญนี้เป็นเรื่องท้าทายเพราะช่างภาพต้องใช้ ความชำนาญในการคาดหมาย เนื่องจากต้องใช้เวลาหลังจากตามองเห็นประมาณครึ่งวินาทีก่อนสมองสั่งให้นิ้ว กดปุ่มชัตเตอร์ และอีกประมาณ 1/10 วินาทีชัตเตอร์จึงจะเปิด ดังนั้นหาก รอจนเห็นภาพที่ดีที่สุด (perfect moment) แล้วจึงกดชัตเตอร์ก็อาจสายไป

*คัด ลอกมาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชุลีพร เกษโกวิท, การถ่ายภาพวารสารศาสตร์, บทที่ 8 สารคดี, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2546

และ http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=News&file=article&sid=2398

การถ่ายภาพสารคดี (Documentary)

การถ่ายภาพ สารคดี (Documentary) เหมือนงานเอกสาร แต่ต้องแปลจากตัวหนังสือมาเป็นภาพถ่าย

ภาพ ถ่ายสารคดีไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่ภาพถ่ายวิถีชีวิตหรือ สังคมเท่านั้น แต่มันรวมไปถึง ภาพถ่ายสถาปัตยกรรม ภาพถ่ายทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ภาพถ่ายธรรมชาติ ภาพถ่ายเชิงมานุษยวิทยา ภาพถ่ายเดินทาง ท่องเที่ยว ภาพถ่ายทางดาวเทียม ล้วนแต่เป็นงานภาพถ่ายเชิงสารคดีทั้งสิ้น เพราะวัตถุประสงค์หลักของภาพถ่ายประเภทนี้คือการ บันทึกหลักฐานเอกสารเพื่อเก็บเป็นข้อมูล

ในฐานะสื่อทางภาพที่มี อิทธิพลต่อความคิดและอารมณ์ ขอบเขตของงานภาพสารคดีจึงมิได้หยุดอยู่แค่การบันทึกข้อมูลหลักฐานเอกสารเท่า นั้น รูปแบบของภาพถ่ายสารคดียังนำไปใช้ในการโน้มน้าวกระแสสังคมได้อีกด้วย

ความแตกต่างของภาพ สารคดี (Documentary) กับภาพข่าว, conceptual และ street shoot

- การถ่ายภาพสารคดี (Documentary) เหมือนงานเอกสาร แต่ต้องแปลจากตัวหนังสือเป็นภาพ เป็นการถ่ายภาพตามความเป็นจริงภาพไม่มีการตัดต่อ หรือจัดฉาก หรือสร้างเรื่องราวขึ้นมาเอง ใช้เวลาเรียนรู้กับเรื่องนั้น ๆ นาน

- การถ่ายภาพข่าวคือการบันทึกเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น อย่างทันทีทันใดตามความเป็นจริง แต่ไม่ได้สาวลึกเข้าไปในรายละเอียด

- การถ่ายภาพแบบ Conceptual คือการถ่ายภาพแบบวาง concept ตามมโนภาพของช่างภาพว่าต้องการให้ภาพออกมาแบบไหน

การถ่ายภาพแบบ Street shoot คือการถ่ายภาพแบบเดินตามถนน เห็นอะไรน่าสนใจก็ถ่ายแต่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดที่มาที่ไปของภาพ

ภาพสารคดีที่ดีต้องมี:

1. ความสวยงามตามองค์ประกอบภาพ

2. เนื้อหาของภาพ ตามความเป็นจริงของสังคม ในแง่ดี หรือแง่ร้ายก็ได้ จะเป็นภาพเดียวหรือ เป็นชุดก็ได้

3. การทำงาน ภาพถ่ายแบบ Documentary เหมือนการทำ วิทยานิพนธ์ ตอนที่จะจบมหาวิทยาลัยนั่นเอง

4. ต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลในเชิงลึกว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทั้งในด้านบวกและด้านลบ หาต้นกำเนิด แหล่งที่มา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

5. วาง conceptของภาพที่อิงกับความเป็นจริง สำรวจและทำความเข้าใจในสิ่งที่จะถ่าย ทำความคุ้นเคย ทำตัวกลมกลืน สร้างมิตรภาพระหว่างช่างภาพและสิ่งที่เราจะถ่าย ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อสร้าง Connection เพื่อในโอกาสหน้า มีข่าวคราวอะไรจะติดต่อเราให้มาถ่ายได้

6. ไม่ควรจัดฉากถ่าย หรือ set ถ่ายภาพ (คงเหมือนสอบได้เกรด 4 แต่ลอกเขามา คงไม่ภูมิใจเท่าไร)

7. การแต่งภาพ ไม่ควรทำ ทำได้แค่ปรับความสว่าง มืด ของภาพเท่านั้น สายไฟที่รกเราก็ต้องเก็บไว้เพราะนั่นคือความจริง แต่บางอย่างที่เคลื่อนย้ายได้ และรกหูรกตา ก็เก็บกวาดออกก่อนถ่ายจะดีกว่า

8. การถ่ายภาพแบบ สารคดี (Documentary) จำเป็นต้องเป็นภาพ ขาว ดำหรือไม่ : ไม่จำเป็นแต่ที่ช่างภาพส่วนมากใช้ ขาว ดำ เพราะภาพขาวดำส่วนมากสื่ออารมณ์ได้ดี และช่างภาพต้องการลบสีสันในภาพออกไป ไม่ให้รบกวานสายตา, ภาพหดหู่ ต้องส่วนมากใช้ขาวดำ, แต่บางภาพไม่ควรใช้ภาพขาวดำเพราะผิดธรรมชาติ เช่นภาพ "ใบไม้ใบสุดท้าย" แต่เป็นภาพขาวดำ เราไม่สามราถมองเห็นได้ว่าใบสุดท้ายมันสีอะไร?

9. เรื่องที่ต้องการนำเสนอสำคัญที่สุด ความงามของภาพเป็นอันดับต่อมา ต้องสามารถสื่อให้เห็นสถานที่ได้ ใช้ภาพให้ หลากหลายมุมมอง

10. ต้องมีเวลาและทุ่มเทเวลากับโปรเจ็คนั้น ๆ อาจเป็นปี ถ่ายแล้วกลับมาดู ถ้าไม่ดีก็กลับไปถ่ายใหม่

11. เงินทุน เพราะตอนที่เรายังไม่มีชื่อเสียงเราต้องเริ่มแสวงหาข้อมูลและออกถ่ายด้วยตัว เราเอง (อันนี้มีทางแก้… ก็ชวน เพื่อน ๆ ไปสิจะได้แชร์ค่ารถ อิอิ..) หลังจากเสร็จโปรเจ็คแล้วก็ทำเรื่องขายก็จะได้เงินมา

12. ต้องมีจุดประสงค์ว่า ต้องการถ่ายไปเพื่ออะไร.. ส่งพิมพ์ตามหนังสือ หรือส่งขาย แต่สิ่งสำคัญทีควรทำคือ .. ขอให้ผลงานนั้นคืนกลับสู่สังคม คืนกลับสู่ต้นกำเนิดของภาพ อาจจะเป็นการทำ postcard ขาย กำไรคืนสู่ต้นกำเนิด เพื่อเป็นการช่วยสังคมให้ดีขึ้น อย่างน้อยก็เป็นกระบอกเสียงให้สังคมรับทราบและตื่นตัว

13. ต้องชั่งน้ำหนักด้วยว่าเรื่องบางเรื่องควรแตะต้องถ้าต้องการกระจายข่าวให้ สังคมรับรู้ แต่เรื่องบางเรื่องถ้าทำแล้วมันทำให้ต้นกำเนิดภาพเสื่อมเสียหรือเสียหาย หรือจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงก็ไม่ควรทำ

14. ทำตัวเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

15. แก้สถานการณ์ล่วงหน้าได้

DAO (สรุปจากการอบรมในหัวข้อการถ่ายภาพสารคดี กับ คุณสุเทพ กฤษณาวารินทร์)

บทสัมภาษณ์ คุณ ดวงดาว สุวรรณรังษี มุมมองเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและถ่ายภาพที่น่าสนใจมาก

บทสัมภาษณ์ คุณ ดวงดาว สุวรรณรังษี มุมมองเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและถ่ายภาพที่น่าสนใจมาก
บทสัมภาษณ์ คุณ ดวงดาว สุวรรณรังษี ลงพิมพ์ ใน Bangkok Post 20 สค. 49, Out Look section
เขียนโดย คุณสนิทสุดา เอกชัย

So what is her purpose? Duangdao answers without having to think. “My goal is nothing big. I only want my work to spark the imagination of the younger generation to explore the world, as explorers before us have done.
“I also want to encourage them to try to find the deeper meanings of the journeys along the way, not just to be in different places.”
What meaning has she has found on the way to the Himalayas, the so-called paradise on earth?
She gives a gentle smile. “I’ve found that paradise is really a state of mind. That it’s nowhere else but in your own heart.”

จุดมุ่งหมายของฉัน ไม่ใช่อะไรที่ใหญ่โต
แค่ต้องการให้ผลงานของฉันกระตุ้น จินตนาการของนักเดินทางรุ่นต่อๆไป ให้ออกค้นหาโลก
อย่างที่นักเดินทางรุ่นก่อนๆ ได้ทำไว้

ฉันยังต้องการช่วยเหลือให้พวกเขาได้ค้นพบ ความหมายที่ลึกซึ้ง ของการเดินทาง ที่ไม่ใช่แค่ การเปลี่ยนสถานที่เท่านั้น

แล้วอะไรล่ะ คือความหมาย ที่ซ่อนอยู่ ในการเดินทางของเธอไปหิมาลัย หรือที่เรียกกันว่าสวรรค์บนดิน

เธอ ยิ้ม อย่างอ่อนโยน และตอบว่า

“ฉันได้พบว่า สวรรค์ ที่แท้จริง เป็นเรื่องของการรู้คิด และไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน หากแต่มันอยู่ในใจของเรานั้นเอง”

Although Duangdao is credited for making Thailand famous for its rich natural world, she says she didn’t necessarily feel good about it.
“I’m not an activist. I don’t fight for the environment by taking to the streets or things like that. I do it with my camera. My aim is to spark a love for nature among the people. But having seen so many places destroyed by overtourism, I don’t know if I did the right thing.”

แม้ ว่าคุณดวงดาวจะได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้หนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่ มีธรรมชาติอันสวยงาม แต่เธอกล่าวว่า บางครั้งก็รู้สึกไม่ดี
“ฉันไม่ใช่นักต่อสู้เรียกร้อง ฉันไม่เคยต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยการออกไปประท้วงกลางถนน ฉันทำด้วยกล้อง

จุด หมายของฉันคือการปลุกจิตสำนึกความรักธรรมชาติให้เกิดในฝูงชน แต่เมื่อได้เห็นว่า ธรรมชาติ ถูกทำลายลงด้วย กลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ฉันชักไม่แน่ใจ ไม่รู้แล้วว่า ฉันทำในสิ่งที่ถูก”

Duangdao was leading a car caravan with the aim to go to Lhasa through China via land routes, something no Thai group has ever done. Apart from the excitement of being an explorer, she also wanted to witness the colourful celebrations of Visakha Puja at the top of the world.

A series of accidents along the way, however, made that goal impossible. The only way the group could make it to Lhasa on Visaka Puja Day was to take an airplane.

Did she give up on her dream to explore the land route from China to Tibet?

Although the group eventually decided to continue the land journey, Duangdao was pained at not being able to achieve the goal she had set for the caravan. That was until she saw the pilgrims who prostrated themselves all the way to Lhasa.

“One told me that it would take him over 140 days from his village to get to Lhasa on a walking pilgrimage. And he had to prostrate like that all the way. Imagine what he must have endured _ imagine the power of his faith. “For those pilgrims, it didn’t matter if they arrived at Lhasa on Visakha Puja or not. What mattered was that they were expressing their deep faith at that very moment.

“Those pilgrims taught me that it’s the determination, the faith in what one’s doing, that matters _ that the journey is more important than the destination.”

การเดินทาง ไม่ได้สำคัญที่ การถึงจุดหมาย เท่านั้น

บางที ไม่สำคัญเลย ว่า จะถึงหรือไม่ถึง

หากแต่ ระหว่างการเดินทางนั้น การค้นพบ สิ่งต่างๆ รวม จิตใจเราเอง

รวมถึง ความเชื่อมั่น ศรัทธา และ การกล้าออกเดิน นั้น ต่างหาก

ที่สำคัญกว่า ความสำเร็จ ในการถึงจุดหมาย

เป็น ชาวเชียงใหม่

จบนิเทศจุฬา

เป็นนักเขียน และเคยทำงาน อนุสาร อสท.

ต่อมาก็ถ่ายภาพเอง , ถนัดแนวภาพธรรมชาติ

บุกป่า ถ่ายภาพ แทบจะทั่วทุกป่า ในไทย

เคยได้รางวัลภาพ ยอดเยี่ยม จากมูลนิธิ นพ. บุญส่ง เลขะกุล ( ขออภัย ถ้าจำชื่อ มูลนิธิ ผิด หรือจำรางวัลผิด)

( ภาพวัว กระทิง กระมัง ครับ … ผมไม่แน่ใจ นะ )

เป็นผู้หนึ่ง ที่ทำให้ อนุสาร อสท. โด่งดัง

ต่อมาออกมาทำ ของตัว เอง คือ Nature Explorer

คร่าวๆ นะครับ

อ้อ

จากที่ฟังๆมา คุณดวงดาว มีความคิดเกี่ยวกับการใช้กล้อง
การเก็บกล้อง ที่แปลกกว่า คนอื่นๆ

เช่น เคยมีชุด ไลก้า , ชุด Hasselblad ที่สุดยอด
ชุด Nikon เป็นต้น ในแต่ละช่วงเวลา

แต่พอเวลาผ่านไป จะไม่เก็บ

แต่จะขาย และเอาเงินไว้

โดยให้เหตุผลว่า เวลาผ่านไป อุปกรณ์ เก่าลง ความก้าวหน้าทางเทคโนฯ มากขึ้น
เอาเงินไปซื้อของใหม่ๆ มาใช้ จะดีกว่า

และของที่เก็บไว้ ถ้าเก็บไม่ดี เลนส์ก็อาจพังได้

คงไม่อาจ เรียกว่า ผิด/ถูก
แค่เป็น อีกทัศนคติ ของ นักถ่ายภาพมือาชีพอีกคนหนึ่ง นะครับ

……

อ้อ

ผมจำได้ประโยคหนึ่ง ที่ น่าสนใจ คุณดวงดาวเคยบอกว่า

ศิลปะภาพถ่าย คือ ศิลปะของการถ่ายทอด

เราต้องรู้ว่ากำลังถ่ายทอดอะไร , ภาพ ก็จะมีชีวิต มีความเป็น ศิลปะไปเอง

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทุ่งสมอ เขาค้อ สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ได้ห่างใกลแต่ใคร ๆ ไม่ค่อยรู้จัก

Outdoor magazine Inside you can see me. 
ภาพนี้ไม่ได้เป็นคนถ่ายภาพแต่เป็นคนในภาพ
 เขาค้อ แทบทุกคนรู้จัก แต่ทุ่งสมอ และถ้ำแห่งนี้ คงมีรู้จักกันไม่มาก แว่นตาอันที่ใส่อยู่ในภาพ ตกหายในถ้ำ ถ้าใครพบอยากบอกว่า มันของผมเอง ไม่ใช่ของโบราณหรอกนะ

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ระยะทางจากกรุงเทพ ถึง จังหวัดต่าง ๆ

กรุงเทพ-กระบี่ 814 กม. 
กรุงเทพ-กาญจนบุรี 128 กม
กรุงเทพ-กาฬสินธุ์ 519 กม.
กรุงเทพ-กำเเพงเพชร 358 กม. 

กรุงเทพ-ขอนเเก่น 449 กม.
กรุงเทพ-จันทรบุรี 245 กม. 

กรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา 82 กม.
กรุงเทพ-ชลบุรี 81 กม. 

กรุงเทพ-ชัยนาท 194 กม. 
กรุงเทพ-ชัยภูมิ 342 กม.
กรุงเทพ-ชุมพร 463 กม. 

กรุงเทพ-เชียงราย 785 กม. กรุงเทพ-เชียงใหม่ 696 กม.
กรุงเทพ-ตรัง 828 กม. กรุงเทพ-ตราด 315 กม. กรุงเทพ-ตาก 426 กม.

กรุงเทพ-นครนายก 107 กม. กรุงเทพ-นครปฐม 56 กม. กรุงเทพ-นครพนม 740 กม.
กรุงเทพ-นครราชสีมา 259 กม. กรุงเทพ-นครศรีธรรมราช 780 กม. กรุงเทพ-นครสวรรค์ 240 กม.
กรุงเทพ-นนทบุรี 20 กม. กรุงเทพ-นราธิวาส 1149 กม. กรุงเทพ-น่าน 668 กม.
กรุงเทพ-บุรีรัมย์ 383 กม. กรุงเทพ-ปทุมธานี 46 กม. 

กรุงเทพ-ประจวบ 281 กม.
กรุงเทพ-ปราจีน 136 กม. 

กรุงเทพ-ปัตตานี 1055 กม.
กรุงเทพ-พะเยา 691 กม. กรุงเทพ-พังงา 788 กม. กรุงเทพ-พัทลุง 840 กม.
กรุงเทพ-พิจิตร 344 กม. กรุงเทพ-พิษณุโลก 377 กม. กรุงเทพ-เพชรบุรี 123 กม.
กรุงเทพ-เพชรบูรณ์ 346 กม. กรุงเทพ-เเพร่ 551 กม.
กรุงเทพ-ภูเก็ต 862 กม. กรุงเทพ-มหาสารคาม 475 กม. กรุงเทพ-มุกดาหาร 642 กม.
กรุงเทพ-เเม่ฮ่องสอน 924 กม. กรุงเทพ-ยโสธร 531 กม. กรุงเทพ-ยะลา 1084 กม.
กรุงเทพ-ร้อยเอ็ด 512 กม. กรุงเทพ-ระนอง 568 กม. กรุงเทพ-ระยอง 179 กม.
กรุงเทพ-ราชบุรี 100 กม. กรุงเทพ-ลพบุรี 153 กม. กรุงเทพ-ลำปาง 599 กม.
กรุงเทพ-ลำพูน 670 กม. กรุงเทพ-เลย 520 กม.
กรุงเทพ-ศรีสะเกษ 531 กม. กรุงเทพ-สกลนคร 647 กม.
กรุงเทพ-สงขลา 950 กม. กรุงเทพ-สตูล 973 กม.
กรุงเทพ-สมุทรปราการ 29 กม. กรุงเทพ-สมุทรสงคราม 72 กม. กรุงเทพ-สมุทรสาคร 36 กม.
กรุงเทพ-สระเก้ว 237 กม. กรุงเทพ-สระบุรี 107 กม. กรุงเทพ-สิงห์บุรี 142 กม.
กรุงเทพ-สุโขทัย 427 กม. กรุงเทพ-สุพรรณ 100 กม. กรุงเทพ-สุราฎ 644 กม.
กรุงเทพ-สุรินทร์ 426 กม. กรุงเทพ-หนองคาย 615 กม. กรุงเทพ-หนองบังลำภู 577 กม.
กรุงเทพ-อยุธยา 76 กม. กรุงเทพ-อ่างทอง 105 กม. กรุงเทพ-อำนาจเจริญ 585 กม.
กรุงเทพ-อุดร 564 กม. กรุงเทพ-อุตรดิตถ์ 491 กม. กรุงเทพ-อุทัย 219 กม. 

กรุงเทพ-อุบล 592 กม.

เลื่อนการเดินทางลงใต้เร็วขึ้น

งานการหลายวันไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมเลย แค่ว่าได้เตรียมเครื่องmacbook pro ให้พร้อมทำงานนอกสถานที่ app และอื่น ๆ ที่ต้องใช้ ใส่งานบางส่วนที่ติดไปทำตอนเดินทางถ้ามันมีเวลาว่าง
 
อ่านเรื่องราวมากมายในเวป ผลวิจัยต่าง ๆ หลายเรื่อง
 
การเปิดบริษัททัวร์ ปัญหา ข้อดี ข้อเสีย  เหมือนปัญหามากกว่า  อย่างมากก็ทำเล็ก ๆ ไป  แต่จริง ๆ แล้วอยากเป็นเอเจนซีตัวกลางจอง  แต่เท่าที่อ่านดูเดี๋ยวนี้ทำราคาเองกันถูกมาก  ไม่ค่อยถึงเอเจนซีแล้ว

ลดน้ำหนักก็นิ่ง ๆ เพราะยังกินมากเหมือนเดิม คงต้องปรับเรื่องกิน และออกกำลังกายมากขึ้น
ช่วงนี้จะเน้นหนัก ลดพุง เล่นพุงมากขึ้น  เพิ่มน่อง ขา เล่นขามากขึ้น  และ กระชับกล้ามเนื้อ  สลายไขมันให้เห็นกล้ามเนื้อชัดขึ้น  อยากเพิ่มใหล่ให้เห็นเป็นรูปร่างอีกนิดด้วย

เลื่อนเวลาลงใต้มาเป็นวันที่ไปงานเผาศพพ่อเพื่อนที่ราชบุรี   เอาของใส่รถเลยลงไปต่อเลย จะได้ไม่ต้องขับรถกลับมาและอีกวันก็ไปทางนั้นอีกที

ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ : 66 วันเดิน 1,000 กิโลเมตร


     ดร. ประมวล เพ็งจันทร์  มีใคร เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มั้ยคะ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน นุสิตา ได้ Serch หาบทความดีๆ อ่าน แล้วก็ได้เจอ เรื่องราวของชายคนนี้โดยบังเอิญ อ่านแล้วก็รู้สึกประทับใจสนุก น่าติดตาม อีกทั้งแนวทางดำเนินชีวิตน่าสนใจมากเลยค่ะ Smile
     บทความมีการใช้ถ้อยคำสุภาพ สละสลวย อ่านแล้วก็อยากอ่านจนจบ มีเนื้อหาที่อ่านแล้วน่าติดตาม ตัวหนังสืออาจยาวไปซักหน่อย ลองอ่านดูนะคะ บทความนี้สอนให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี
...................................................
     1 ปีก่อน ผู้ชาย ธรรมดา ๆ คนหนึ่งได้ตัดสินใจยุติบทบาทอาจารย์มหาวิทยาลัยในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 51 เพื่อออกเดินเท้าจากเชียงใหม่กลับสู่บ้านเกิดที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ด้วยเงื่อนไข ไม่พกเงินติดตัว-ไม่ เดินไปหาคนรู้จักหากคนรู้จักอยู่ที่ไหนก็จะหลีก เลี่ยง-ไม่ร้องขออาหาร เว้นแต่จะมีผู้หยิบยื่นให้เองโดยไม่เดือดร้อน-ไม่เบียดเบียนใครหรือสิ่ง ใด-ไม่กำหนดเวลา-ไม่วางแผนการเดินทาง หรือกำหนดเส้นทางที่แน่ชัด

      66 วันผ่านไป อดีต อาจารย์ภาควิชาปรัชญาฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนเดิมเดินกลับมาเหมือนปาฏิหาริย์ นำมาซึ่งการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านระยะทางกว่า 1,000 ก.ม.ในหนังสือ "เดินสู่อิสรภาพ"แทนจดหมายขอบคุณผู้ให้ชีวิตใหม่แก่เขาตลอดเส้นทางกว่า 166 คน และบอกเล่าความหมายและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ตลอดการก้าวย่างทั้งภายนอกและ การเดินทางภายใน..
       
      ฉากชีวิตของ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ริ่ม ต้นบนเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ผ่านชีวิตเด็กรับจ้างกรีดยางที่เรียนจบเพียงชั้นป.4 ไฟไหม้สวนยางทั้งแปลงของตนเมื่ออายุ 15 ปี การตัดสินใจบวชเณรเพื่อก้าวให้พ้นจากความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นใน เดือนตุลาคม 2514 จนเรียนจบเปรียญ 5 เข้าเรียนมหาจุฬาฯ ย้ายไปเรียนมหามกุฏฯ และตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตอีกครั้งเพราะสะเทือนใจกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 เดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย จนจบปริญญาตรี-โท-เอก สาขาปรัชญา ซึมซับอารยธรรมอินเดียเป็นเวลานานถึง 10 ปีเศษ ก่อนกลับมาช่วยสอนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และสอบบรรจุเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นานกว่า 16 ปี


     "ผมคิดว่าเวลาที่จะมีชีวิตอยู่มันเหลือไม่มากนักและผมได้รับอิทธิพลจากวัฒ ธรรมอินเดียที่เคยอยู่มา เมื่อถึงวัยหนึ่งที่สำนึกรู้ว่าตนมีเวลาเหลืออยู่ในโลกไม่มากแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวที่จะละโลกนี้ไป หรือไม่ยึดติดในสภาวะที่มีอยู่ ผมเลยใช้การเดินเพื่อออกจากสภาวะที่มีอยู่"
          
       การฝึกเดินครั้งแรก  ค่อน ข้างทุลักทุเล เพราะเมื่อเดินลงจากดอยสุเทพแล้วกลับบ้านไม่ได้เนื่องจากรถเยอะมากจนไม่ สามารถข้ามถนนได้ต้องโบกรถโดยสารให้ไปส่งที่บ้านโดยภรรยาถึงกับต้องอุ้มเข้า บ้านและนวดให้ทั้งคืน รุ่งเช้าจึงเป็นไข้และเว้นไป 1 วันจึงตั้งต้นฝึกเดินต่อจนกระทั่งเดินได้พอสมควรและเชื่อว่าจะเดินได้ภรรยา จึงอนุญาตให้เดินออกจากบ้านในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548
       สัมภาระมีเพียง เป้หนึ่งใบที่บรรจุยาขวดน้ำหมวกเสื้อผ้าหนึ่งชุดสมุดบันทึกปากกา และไปรษณียบัตรที่เขียนถึงภรรยาทุก ๆ วันเพื่อสื่อสารว่ายังมีชีวิตอยู่

      

ความหมายของอาหารมื้อแรก

        วันแรกของการออกเดิน อ.ประมวล พบบทเรียนแรกจากการอดเมื่อถึงเขตอำเภอสันป่าตอง เกิดอาการอ่อนล้าขณะที่น้ำในกระบอกก็หมดตนรู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม คอแห้ง น้ำลายขม และหูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไรขณะนั้นเขาพบเพิงขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งมีม้าหินขัด ตั้งอยู่จึงขออนุญาตเจ้าของเพิงขายก๋วยเตี๋ยวนั่งพักตรงนั้นและได้รับ ไมตรีจิตจากเจ้าของเพิงทำก๋วยเตี๋ยวให้ทานเมื่อทราบว่าเขาเดินเพื่ออะไร
        "ผม รู้ว่าก๋วยเตี๋ยวชามนั้นเขาเต็มใจทำจริง ๆเพราะมันเต็มชามเลย ทั้งเส้นก๋วยเตี๋ยว ทั้งลูกชิ้นทั้งอะไรที่มีอยู่เขาใส่มาจนเต็มแล้วผมก็ได้รู้ว่าการได้ทาน ก๋วยเตี๋ยวชามนั้นมันมหัศจรรย์และวิเศษที่สุดเพราะก่อนหน้านั้นผมรู้สึกว่า เพียงแค่วันแรกชีวิตของผมก็กำลังจะมอดดับสลายเสียแล้วแต่พอได้ทานก๋วยเตี๋ยว เท่านั้นเองสิ่งที่มันเฉาไป มันก็ค่อย ๆ พื้นคืนมา"

        "ผมขอบคุณคนให้ก๋วยเตี๋ยวที่ช่วยต่อชีวิตให้ผมยังได้มีต่อไปการทานอาหาร เพียงแค่มื้อแรกก็สุดแสนมหัศจรรย์กับการที่มีชีวิตอยู่เพราะมันเป็นสิ่งที่ ทำให้เราตระหนักรู้ว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นมันมีความหมายมากกว่าที่เราเคย ทานมาไม่รู้สักเท่าไรและอาหารแต่ละมื้อที่ทานไปมีมิติแห่งความหมายทั้งนั้น จนผมรู้สึกเสียดายว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมากินอาหารไม่รู้กี่ร้อยกี่พันมื้อ แล้วทำไมจึงไม่ได้ความรู้สึกไม่ได้อารมณ์ประเภทนี้เลย"

 เฉียดตายเพิ่มความหมายชีวิต

         ครั้งแรก ของ ประสบการณ์เฉียดตายระหว่างการก้าวเดินของอ.ประมวล คือขาขึ้นดอยอินทนนท์ ซึ่งเขาเล่าว่าเหมือนชีวิตกำลังจะขาดรอนๆเขาใช้คำว่าเกือบปลงชีวิตเสียแล้ว เพราะทั้งใจสั่น หน้ามืดจะเป็นลมต้องล้มตัวลงนอนที่ข้างถนนปรากฎว่าไม่ตายเพราะมีรถปิคอัพ ทะเบียนชลบุรีคันหนึ่งจอดรับเขาเพื่อไปส่งถึงยอดดอยในระยะทางอีกเพียง 2 ก.ม.เท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ความสุขจากขาลงดอยที่เปรียบได้กับขาลงของชีวิต เพราะไม่ต้องแบกน้ำหนักจากสิ่งใดๆ เท่ากับขาขึ้น

    
        ครั้งที่สอง
คือ เมื่อเดินถึงจังหวัดราชบุรีเนื่องจากวันนั้นอดข้าวมาทั้งวัน และยังต้องเดินบนถนนใหญ่ที่อากาศร้อนจัดและเต็มไปด้วยควันพิษทำให้รู้สึกวิง เวียนหูอื้อตาลาย ไม่สามารถทรงตัวได้ เขาคิดว่าตัวเองจะตายอีกครั้ง แต่ก็ยังมีคนมาพบและนำตัวขึ้นรถกระบะโดยที่อ.ประมวลพยายามพูดได้แค่เพียงคำ ว่าเพชรบุรีอยู่หลายครั้งก่อนหมดสติไป..


 บทเรียนจากเงิน 200 บาท

         บทเรียนที่ดีมากอีกครั้งหนึ่งคือเหตุการณ์ที่จ.กำแพงเพชรเมื่อชายหนุ่มคน หนึ่งจอดรถรับเขาขึ้นรถและเมื่อรู้เจตนาที่แท้จริงในการเดินก่อนจากกันจึง รีบซุกเงิน200 บาทให้ในซอกเป้ แล้วขับรถหนีไป
         "ผม พบว่าสตางค์ 200 บาทนี้เข้ามาเป็นตัวแทรกในชีวิตผมที่มหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อเดินมาจนถึงสี่แยกสลกบาตร จ.กำแพงเพชร ผมเกือบยอมจำนนต่อความหิวกระหายและนำเงิน 200 บาทที่ได้มานั้นไปซื้อน้ำดื่มแต่เผอิญโชคดีที่ไฟเขียวตรงสี่แยกนั้นขึ้นมา ก่อน ผมเลยรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นคนขับมอเตอร์ไซค์คงนึกว่าผมรีบวิ่งข้ามถนนแต่ ความจริงผมรีบวิ่งหนีอารมณ์ตัวเองที่อ่อนแอมากเพียงแค่มีเงิน200 บาทอยู่ในกระเป๋าทำให้ผมเกือบพ่ายต่อปฏิญญาที่ตัวเองวางไว้"


  คืนดินสู่ผืนดินเกิด

        วินาทีที่ถึงจุดหมายปลายทางเกาะสมุย อ.ประมวลเคยเล่าว่าไปถึงเรือข้ามฟากบ้านดอน-เกาะสมุยในวันที่ 24 ม.ค.2549 ขณะนั้นมีความรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น เมื่อเดินจากสะพานไปเหยียบแผ่นดินเกาะสมุ ย ตนก้มลงสัมผัสแผ่นดินที่เกาะสมุยด้วยความรู้สึกดีที่สุด วัน นั้นเป็นวันที่ฝนตก ก้มศีรษะลงไปไม่ถนัด ต้องใช้มือจับแผ่นดินแล้วเอามาวางที่กระหม่อมตัวเอง มือเปียกน้ำที่เอามาสัมผัสกับศีรษะสะดุ้งด้วยความรู้สึกที่มหัศจรรย์ จากนั้นจึงเดินกลับบ้าน คุกเข่าลงในที่ที่เป็นบันไดบ้านเดิม และนำดินที่เก็บมาจากไต้ถุนบ้านเมื่อตอนออกจากบ้านอายุ18ปี มาคืนยังที่เดิม ตนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกและร้องไห้ เป็นอารมณ์ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต เสียงป้าที่เรียกให้ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวก็ทำให้ตนรู้สึกถึงการกลับบ้าน จริง ๆ อีกครั้ง
   รับมือกับความท้อแท้

        เมื่อถามถึงความท้อแท้ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เขาตอบว่าความท้อเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะตนมีหลักเกณฑ์ในการกำจัดความท้อแท้อยู่แล้ว เนื่องจากก่อนออกเดินทางตนทราบว่าอะไรคืออุปสรรคที่จะมารบกวน ซึ่งได้แก่ ความรู้สึกท้อแท้ หวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงเตรียมจิตให้ไม่ว่อกแว่กกับเรื่องในอดีตซึ่งจะทำให้เกิดความ ห่วงใยผูกพันและไม่ปรุงแต่งเรื่องในอนาคตที่ทำให้รู้สึกคาดหวัง และกดดันท้อแท้ พร้อมตั้งจิตเป็นเชิงอธิษฐานว่าจะ ก้าวทีละก้าวด้วยจิตใจที่เบิกบาน กับอารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน Smile

  มื้อที่อดสอนมื้อที่อิ่ม

       "เคยอดข้าว นานที่สุดเกือบ 2 วันเต็ม ผมพยายามเรียนรู้อารมณ์ที่เกิดจากการอดว่าเริ่มจากการกระหายหิวซึ่งเป็น เรื่องปรกติเมื่อเราไม่ได้กินอาหาร ทำให้ได้ไคร่ครวญว่าการมีอาหารกินเป็นสิ่งมีค่าประเสริฐมาก เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าได้มีอาหารกินจะต้องรู้ค่าของการกินอาหาร และรู้ค่าของอาหาร นอกจากนั้นความรู้สึกกลัวอันตรายในภาวะที่ไม่ได้กินอาหารยังทำให้ตระหนักรู้ ว่าถ้าร่างกายของเราจะจบลงเพราะไม่มีอาหารกิน ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอะไร เพราะเป็นไปตามความปรารถนาของตนที่ต้องการเดินจนกว่าชีวิตจะหาไม่แล้ว

        อย่างไรก็ตาม วินาทีที่ฝืนเดินจนเหนื่อยแทบขาดใจตายก็ได้สอนให้เขาเรียนรู้อีกครั้งว่าการ เดินให้ตายไม่ใช่สิ่งประเสริฐอะไรเลยเพราะ ครั้งหนึ่งเคยเดินด้วยความรู้สึกที่อยากก้าวย่างจนถึงวาระจิตสุดท้าย แต่ปรากฎว่ายังไม่ยอมตาย จึงพบว่าความจริงแล้วตนไม่ควรหยาบคายต่อร่างกายของตัวเอง แต่ควรดูแลและทนุถนอมร่างกาย เพื่อเดินด้วยจิตใจที่เบิกบานจะดีกว่า

        ถ้าร่างกายนี้มีความจำเป็นต้องหยุดพักเราก็ต้องพัก เพราะ ร่างกายเป็นอุปกรณ์ที่ให้เราใช้เหมือนเราขับรถ ถ้ารถร้อนจัดเราก็ต้องหยุดให้รถคลายความร้อน แต่ถ้ายังฝืนขับไป รถอาจจะร้อนจนน็อกไปซึ่งวิธีทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นวิสัยของคนขับรถที่ฉลาด เลย"



ถูกครหาว่าสุดโต่ง

       “ผมไม่ได้ คิดถึงเรื่องสุดโต่ง เพราะผมไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่มันอยู่ขั้วตรงกันข้าม ผมไม่ได้ปฏิเสธการมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย แต่คิดว่าในขณะหนึ่งเราควรเรียนรู้ว่าชีวิตที่มันอยู่คนละขั้วนี่มีความ หมายอย่างไร เช่น เราตระหนักถึงความหิวเพื่อรู้ค่าของความอิ่ม เราเรียนรู้การเหน็ดเหนื่อยเพื่อรู้ค่าของการได้หยุดพัก เพราะฉะนั้นเวลาเดินไปเราจะรู้เลยว่าการได้หยุดพักก็เป็นคุณค่าอันประเสริฐ สำหรับการเดินทางเราจะไม่สามารถเดินทางได้ถึงเป้าหมายเลย ถ้าไม่มีโอกาสหยุดพัก เพราะฉะนั้นการหยุดพักก็เท่ากับการเดิน การเดินเท่ากับการได้หยุดพัก และ ถ้าเดินถึงเป้าหมายก็ต้องขอบคุณทุก ๆ ก้าว ทั้งที่ขณะก้าวย่างและขณะที่ก้าวหยุดเมื่อผมเดินถึงบ้าน จึงต้องขอบคุณชีวิตของผมที่มีทั้งสุข ทุกข์ สำเร็จ ล้มเหลว




 จิตงดงามคือความสุข

        "สิ่งที่ ได้รับจากการก้าวเดินเพียงต้องการบอกทุกคนว่าความจริงแล้วความสุขเป็นสิ่ง ที่ง่ายมาก เพียงแค่เรามีจิตที่งดงาม เพียงแค่เรามีจิตที่ปรารถนาดีต่อผู้อื่นการกระทำของเราก็จะเป็นไปเพื่อความ เกื้อกูลซึ่งการเกื้อกูลเป็นสิ่งที่งดงามมาก
        แม้กระทั่งบางครั้งที่ผมเดินผ่านกลุ่มเด็กวัยรุ่นแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ซิ่ง คิดว่าผมเป็นคนบ้าและอยากจะแกล้งคนบ้าเพื่อความสนุกสนาน ผมก็คิดว่าถ้าผมเป็นคนบ้าแล้วเขาสนุก ผมก็ควรจะเป็นคนบ้า แกล้งทำเป็นบ้าตกใจกลัว เขาก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วขี่มอร์เตอร์ไซค์ซิ่งไป แน่นอนตรงนี้อาจจะมีคนตำหนิว่าวัยรุ่นเหล่านั้นไม่รู้จักการให้เกียรติผู้ อื่น แต่ผมเข้าใจว่าเขามีอารมณ์อย่างนั้นเพราะอยากสนุก แล้วทำไมล่ะ เราไม่สามารถจะเป็นคนบ้าเพื่อความสนุกของเขาได้หรืออย่างไรมันยากอะไรนักหนา ที่เราจะเป็นคนบ้า แล้วผมก็มีความสุขที่เห็นเขามีความสุขที่ได้แหย่คนบ้าเล่น หรือ บางครั้งเราจะเป็นคนโง่ก็ได้ ถ้าการโง่ของเราทำให้ผู้อื่นเขารู้สึกเขามีค่าขึ้นน่ะครับ"

   Credit : http://www.dhammajak.net/dhammabox-2/35.html

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จากหนังสือ อ้วนอย่างมีไสตล์ ของคุณวัลลภาฯ

บทความนี้ อ้างอิงจากหนังสือ อ้วนอย่างมีไสตล์ ของคุณวัลลภาฯ

           สาว ๆ ทีเกิดมาหุ่นดี รูปร่างสวย มักจะภูมิใจในตัวเองที่ถือว่าเกิดมาโชคดี อย่างน้อย หน้าตาเลือกกันไม่ได้ แต่หุ่นได้มาตรฐาน ก็ยังพอที่จะทดแทน ให้เตะตาไอ้หนุ่มทั้งหลายได้ สังคมทุกวันนี้ ก็ช่างรู้เห็นเป็นใจ กับบรรดาสาวหุ่นเพรียวทั้งหลาย และมักจะมองข้ามคนอ้วน ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว แม้คนอ้วนจะมีน้อยกว่า แต่ก็มีมากพอ ที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมเดียวกัน
           คนอ้วนมักจะถูกค่อนขอด มักจะถูกล้อเลียนอยู่เสมอ เช่นว่า แม่หุ่นสามโคก ยายช้างน้ำ นางเอกอินเดีย ฯลฯ แต่ละคำที่หลุดออกมา ล้วนแล้วแต่สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าให้เลือกได้ใครล่ะอยากจะอ้วน ใครล่ะ อยากจะเป็นยายช้างน้ำ ยายผีเสื้อสมุทร ทุกคนก็อยากจะเป็นอย่างลูกเกด (เมทินี  กิ่งโพยม) อยากเป็นอย่าง ซินดี้ ครอฟอร์ด ซูปเปอร์โมเดลที่มีหุ่นสวยได้มาตรฐานกันทั้งนั้น
           ที่ว่าสังคมมันช่างรู้เห็นเป็นใจ กับคนหุ่นเพรียวนั้น ตัวอย่างที่เห็นกันชัด ๆ ก็น่าจะเป็น เสื้อผ้าที่บรรดา นักออกแบบแฟชั่นทั้งหลาย ทั้งระดับโลกและระดับประเทศในบ้านเรา พี่ท่านก็ช่างกระไร ออกแบบเสื้อผ้าแต่ชุด ตัวเล็กกระจิริด แทบจะยัดแขนยัดขาลงไปไม่ได้ แถมเปิดโน่นนิด โชว์นี้หน่อย ให้เห็นหน้าท้อง เห็นทรวดทรงองค์เอว...เรียวขา ปิดฝาโลงฝังคนอ้วน ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดกันเลยทีเดียว
           จะมีบ้างก็ประเภทคนอ้วนใจถึง ที่มั่นใจเกินร้อย ใส่ชุดประเภทนี้กับเขาบ้าง โดยไม่ยอมส่องกระจก ชะโงกดูสารรูปตัวเอง ผลก็คือ ยังไม่ทันก้าวพ้นธรณีประตูบ้าน ก็ถูกไอ้ตูบ หมาเพื่อนใจ ที่เคยจงรักภักดีเห่าไล่ส่ง ชนิดที่รับไม่ได้ เมื่อห็นเจ้านายของมัน ทำอะไรโดยไม่เห็นแก่หน้าของมันเลย (ฮิฮิ)
           คนอ้วนหลายคน(เกือบทุกคนก็ว่าได้) คนไม่ไหวต่อคำค่อนขอดของสังคม รวบรวมเงินทองได้ก้อนหนึ่ง ก็วิ่งไปปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำที่จะทำให้ตัวเอง ผอมเหมือนชาวบ้านให้ได้ คำแนะนำที่ได้ ก็คือต้องหมั่นดูแลควบคุม อาหารการกินในแต่ละมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ทานอาหารจุบจิบ แต่สัญชาตญาณของคุณเธอ ที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ปล่อยปาก ให้ฟาดทุกอย่างที่ขวางหน้า เพียงกฎเกณฑ์ 2-3 อย่างที่หมอให้มา ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ น้ำหนักก็ไม่ยอมลด แถมอ้วนเอ๊าอ้วนเอา หนักขึ้นไปอีก
           เมื่อวิธีลดน้ำหนัก ด้วยการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายไม่สำเร็จ เห็นที่นั่นที่นี่โฆษณา ลดความอ้วนด้วยวิธีการอื่น เช่น ทานยา ฝังเข็ม มีตัวอย่างว่าได้ผล ก็วิ่งกรูกันไปใช้บริการ ถึงค่าใช้จ่ายจะแพงเท่าไหร่ไม่ว่า ขอให้เป็นอย่างคำโฆษณาก็แล้วกัน สุดท้ายเวลาผ่านไป 3-4 สัปดาห์ได้ผลจริง เอวที่เคยหนาก็ลดลง หน้าที่เคยบานเป็นกระด้ง ก็หดหาย กลายเป็นคนหน้ารูปไข่ แก้มตอบ ดูสวยไปหมด ผ่านไปทางไหน ก็มีแต่คนมอง เพื่อนฝูง เพื่อนที่ทำงาน ทักทายกันไม่ขาดปาก ถึงรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไป คิดแล้วเงิน ที่เสียไปก็คุ้มค่าต่อการลงทุนแท้ ๆ แต่ที่ไหนได้ ! พอคุณกลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิม เผลอกินเข้าไป ลืมออกกำลังกาย แถมไม่ได้ทานยา (เบื่ออาหาร) ที่คุณหมอเคยให้ ไม่นานก็จะกลับมาอ้วนอีก แถมอ้วนกว่าเดิม เป็นขี้ปากให้เพื่อน ๆ นินทาอีกครั้ง เรื่องเหล่านี้ เป็นวัฎจักร ของคนอ้วนที่คิดจะผอม ร้อยทั้งร้อยเลยก็ว่าได้
           ในปัจจุบันนี้ พลโลกมากกว่าครึ่งหนึ่ง ต้องอดอยากเนื่องจาก การขาดแคลนอาหารที่จะบริโภค หรือบริโภคอาหาร ไม่ถูกหลักโภชนาการ พลโลกเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่ กำลังพัฒนา เช่นประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย และแอฟริกา แต่ในขณะเดียวกัน พลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกของโลก เช่น ยุโรป และอเมริกา กลับมี ปัญหาเกี่ยวกับ การทานอาหารมาก เกินกว่าที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ ซึ่งทำให้น้ำหนักร่างกาย มากเกินขนาด (Overweight) และเกิดการสะสมไขมัน มากเกินกว่าปกติ หรือ เกิดเป็นโรคอ้วน (Obesity) ขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา โรคอ้วนเป็นปัญหาที่สำคัญมาก ในด้านโภชนาการ และสาธารณสุขของประเทศ  ในประเทศไทย ถึงแม้ว่าโรค ที่เกิดจากการทานอาหารจนเกินไปนี้ จะยังไม่เป็นปัญหาร้ายแรง ของประเทศก็ตาม แต่ก็มีบุคคลบางพวก ที่มีฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างดี มีอาหารการกิน อุดมสมบูรณ์ มีปัญหาเกี่ยวกับ การทานมากเกินไป และยังมีบุคคลอีกจำนวนมาก ที่มีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการงดรับประทานอาหาร และการควบคุมอาหาร เพื่อไม่ให้น้ำหนักร่างกาย เพิ่มขึ้นมากเกินไป บุคคลดังกล่าว มักใช้วิธีปฏิบัติที่ผิด ซึ่งนอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองเงิน โดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังทำให้เกิดอันตราย แก่สุขภาพ พลานามัยอีกด้วย   ี
โรคอ้วนและอาหารลดน้ำหนัก
           "คนอ้วน" หมายถึงบุคคลที่มีน้ำหนักร่างกายสูงกว่าน้ำหนักเฉลี่ยของคนทั่วไปเกินกว่าร้อยละ 20 หรือมีไขมันมากกว่าร้อยละ 25-30 ของน้ำหนักร่างกาย
           ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ใด ทราบแน่นอนถึงน้ำหนัก ที่พอเหมาะสำหรับส่วนสูง อายุ โครงกระดูก และกล้ามเนื้อของแต่ละคน ในต่างประเทศ ได้มีการรวบรวม น้ำหนักเฉลี่ยของร่างกาย ตามเพศ อายุ ส่วนสูงและโครงร่างไว้ และแนะนำให้ใช้น้ำหนักเหล่านั้นไว้ สำหรับเปรียบเทียบ  อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันว่า ผู้ที่มีอายุพ้นวัยรุ่น หรือตั้งแต่ 20 ปี ขึ้นไป ความสูงมักจะคงที่ ในประเทศไทยขณะนี้ ยังไม่มีตารางแสดง น้ำหนักของร่างกายตามส่วนสูง แต่จากการสำรวจ ภาวะโภชนาการในประเทศไทย ปรากฎว่าผู้ชายไทย มีความสูงเฉลี่ย ประมาณ 162 เซนติเมตร และมีน้ำหนักเฉลี่ย ประมาณ 52 กิโลกรัม ส่วนผู้หญิงมีส่วนสูงประมาณ 148 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย ประมาณ 44 กิโลกรัม จากเอกสารของกองโภชนาการ กรมอนามัย ผู้ชายไทย มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 54 กิโลกรัม และผู้หญิงไทย มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 47 กิโลกรัม น้ำหนักดังกล่าวนี้ ควรรักษาไว้ให้คงที่หลังจากอายุ 20 ปีขึ้นไปแล้ว ถ้าเราใช้น้ำหนักดังกล่าว เป็นหลักในการเปรียบเทียบ ผู้ชายไทยที่มีน้ำหนักเกินกว่าร้อยละ 10 คือ ตั้งแต่ประมาณ 60 กิโลกรัมขึ้นไป อาจถือว่ามีน้ำหนักมากเกินขนาด และถ้ามีน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 20 คือตั้งแต่ประมาณ 65 กิโลกรัมขึ้นไป อาจถือว่าเป็นโรคอ้วน ถ้าความสูงอยู่ในเกณฑ์ ดังกล่าว
           การใช้น้ำหนักเป็นเครื่องวัดดังกล่าว ประสบกับปัญหาหลายประการ ประการแรก ขณะนี้ยังไม่มีน้ำหนักมาตรฐาน ที่ถูกต้องแน่นอน ในการเปรียบเทียบ ตัวเลขที่ได้มักมาจาก สถิติของบริษัทประกันชีวิต หรือจากการสำรวจ อีกประการหนึ่ง นักกีฬาส่วนใหญ่ ที่มีน้ำหนักมากกว่าคนปกตินั้น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่น้ำหนักของไขมัน แต่เป็นน้ำหนักของ เนื้อเยื่อที่ไม่ใช่ไขมัน ดังนั้น การวัดความอ้วนที่ถูกต้องที่สุด จึงควรเป็น การวัดปริมาณไขมัน ที่สะสมในร่างกาย มากกว่าการดูจาก น้ำหนักเพียงอย่างเดียว การวัดปริมาณไขมัน มีหลายวิธี แต่วิธีที่นิยมกันมาก คือ การวัดปริมาณไขมันใต้ผิวหนัง เช่น บริเวณด้านหลังของต้นแขน กึ่งกลางระหว่างหัวไหล่และข้อศอก ถ้าหนาเกินกว่า 1 นิ้วขึ้นไป ถือว่าอ้วน
สาเหตุของโรคอ้วน
           สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักมากเกินขนาดนั้น เนื่องมากจาก การทานอาหารมากกว่า ที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ อาหารส่วนเกินนี้ เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกายใ นรูปของไขมัน ไม่ว่าอาหารนั้น จะเป็นข้าว ขนม หรือเนื้อสัตว์ก็ตาม ถ้าทานมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นไขมันได้หมด และเก็บเอาไว้ในร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้นาน ๆ น้ำหนักก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โดยเหตุนี้ คนที่เป็นโรคอ้วน จึงเป็นผู้ที่มีไขมันสะสมในร่างกาย มากกว่าปกติ
           ในต่างประเทศ ได้มีผู้ทำการวิจัย ในสัตว์ทดลองหลายประเภท และในคน เพื่อหาสาเหตุของโรคอ้วน สรุปได้ว่า มาจากสาเหตุดังต่อไปนี้
           1. ร่างกาย (Body) เช่น กรรมพันธุ์ มีหลักฐานยืนยันว่า ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นคนอ้วนทั้งคู่ ลูกก็มักจะมีโอกาส อ้วนได้มากกว่า ผู้ที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่อ้วน เข้าทำนองที่ว่า "ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ถ้าดูให้แน่ต้องดูปู่ย่าตายายด้วย" การสำรวจในสหรัฐอเมริกา ปรากฎว่า ลูกจะมีโอกาสอ้วนได้ร้อยละ 80 ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งคู่ ถ้าพ่อและแม่ คนหนึ่งคนใดอ้วน ลูกจะมีโอกาสอ้วนร้อยละ 40 ถ้าพ่อและแม่ไม่อ้วนทั้งคู่ ลูกจะมีโอกาสอ้วนเพียงร้อยละ 7
           2. สารหรือตัวการ (Agent) การเปลี่ยนแปลงดุล ของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมทารก ทำให้มีความอยากอาหารมากขึ้น เมื่อทานมากเกินความต้องการ  น้ำหนักก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้าปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไข ก็ทำให้อ้วนได้ในที่สุด โรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง ในสมองและระบบประสาท ที่เกิดขึ้นในสัตว์ทดลอง หรือในคน จะมีผลทำให้กินมากผิดปกติ และเป็นโรคอ้วนได้ง่าย การผ่าตัดหรือใช้สารเคมี ที่ทำอันตรายแก่สมองส่วนหน้า หรือต่อมใต้สมอง ก็ทำให้เกิดโรคอ้วนได้เช่นเดียวกัน
           3. สิ่งแวดล้อม (Environment) เช่น นิสัยการทานไม่ดี อิ่มแล้วก็ยังทานโน่นทานนี่ทั้งวัน หรือชอบทานอาหาร มีไขมันสูง อาหารมันจัด หวานจัด หรือทานมากแต่ ออกกำลังกาย หรือใช้แรงงานน้อย ภาวะทางเศรษฐกิจสังคม หรือขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ผู้ที่เป็นโรคอ้วนบางรายมากจาก สภาพจิตใจไม่ปกติ เช่น ผิดหวังเรื่องรักใคร่ หรือพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ เลยหาทางออกโดยการทานมากขึ้น
           ในเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้ จะเห็นได้ว่าสาเหตุใหญ่ เกิดจากความเจริญทางวิชาการ และเทคนิคด้านอาหาร และเกษตรกรรม ในระยะหลังนี้ มีการปรับปรุงคุณภาพของอาหาร
           คนทานอาหารมากขึ้น เพราะอาหารมีรูปลักษณะที่ชวนบริโภค และมีการคิดค้นเครื่องผ่อนแรงต่าง ๆ ทำให้คน ไม่ต้องใช้แรงงานมาก อาหารที่ทานเข้าไปในร่างกาย ถูกใช้น้อยกว่าปกติ คนจึงเป็นโรคอ้วนกันมาก
อันตรายที่เกิดจากการมีน้ำหนักมากเกินขนาดหรือโรคอ้วน
           ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ชายอายุสูงกว่า 30 ปี ร้อยละ 50 มีน้ำหนักมากเกินขนาด และร้อยละ 25 เป็นโรคอ้วน ส่วนผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป เป็นโรคอ้วน ถึงร้อยละ 15-30 ในประเทศอื่นส่วนใหญ่ ไม่มีตัวเลขที่แน่นอน
           จากสถิติที่รวบรวมได้ในหลายประเทศเห็นว่า คนที่ทานมากเกินไป จนเป็นโรคอ้วนนั้น มักอายุสั้น มีความต้านทานโรคต่ำ และติดโรคง่าย มีอัตราการป่วย และการตายสูง เนื่องจากเป็นโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีความโน้มเอียง ที่จะเป็นโรคปวดข้อ โรคเกี่ยวกับต่อมต่าง ๆ ในร่างกายผิดปกติ โรคกระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบได้ง่าย  บุคคลเหล่านี้ มักเป็นอันตรายได้ง่าย เมื่อเกิดมีการผ่าตัด และเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในขณะที่ตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตร นอกจากนี้คนอ้วนมักอึดอัด เคลื่อนไหวไม่สะดวก เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มักเหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ และมีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว สุขภาพจิตไม่ค่อยดี เพราะแต่งกายให้สวยงามได้ยาก และมักมีปัญหาเกี่ยวกับ การถูกล้อเลียน
การลดน้ำหนักหรือการลดความอ้วน
           มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงชัดเจน การลดน้ำหนักจะช่วยให้มีอายุยืนและช่วยในการรักษาโรคต่าง ๆ กล่าวมาแล้วได้เป็นอย่างดี ดังนั้น การลดน้ำหนักจึงเป็นสิ่ง
จำเป็นมาก วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้องและไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกายก็คือ การลดไขมันที่สะสมอยู่มากกว่าปกติในร่างกาย ซึ่งทำได้ดังนี้
           1. การแก้ไขด้านอาหาร หรือลดปริมาณอาหารที่ทาน
           2. การออกกำลังกาย หรือการทำงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญสารอาหารที่ทานเข้าไปมากขึ้น
การแก้ไขด้านอาหาร
อาหารลดน้ำหนักที่ถูกหลักโภชนาการควรมีลักษณะดังนี้
           1. ควรมีพลังงาน (แคลอรี) ต่ำกว่าที่ร่างกายต้องการ เมื่อร่างกายได้พลังงานไม่พอจากอาหาร ร่างกายจะได้ใช้ไขมัน ที่สะสมไว้มาเผาผลาญแทน น้ำหนักร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลง สำหรับผู้ชาย ที่ต้องการลดน้ำหนัก  ควรทานอาหาร ที่ให้พลังงานวันละ 1,500-2,000 แคลอรี ถ้าเป็นหญิง ควรทานอาหารที่ให้พลังงานวันละ 1,200-1,600 แคลอรี พลังงานที่ได้รับขนาดนี้จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้โดยปลอดภัย แม้ว่าบุคคลนั้น จะมีโอกาสออกกำลังกาย ไม่มากนักก็ตาม และไม่ทำให้หิวจัด อ่อนเพลีย หรือร่างกายทรุดโทรม จนเกิดโรคภัยไข้เจ็บ อาหารลดน้ำหนัก ที่มีพลังงานต่ำกว่าวันละ 1,000 แคลอรี มักไม่ใคร่ใช้กัน เพราะยาก ที่จะจัดให้เป็นอาหารสมส่วนได้ โดยทั่วไป ถ้าลดพลังงานในอาหาร ลงวันละ 500-1,000 แคลอรีต่อวัน จะช่วยลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 1/2-1 กิโลกรัม หรือเดือนละ 2-4 กิโลกรัม
           การลดแคลอรีในอาหาร ทำได้โดยลดปริมาณอาหาร ที่มีแป้งและน้ำตาลให้น้อยลง เช่น ถ้ารับประทานข้าว แล้วไม่ควรทานก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมปัง หรือขนมหวานเพิ่มเติม จากข้าว หรือถ้าเคยทานข้าว 2 ถ้วนในมื้อหนึ่ง ก็ควรลดเหลือเพียงถ้วยเดียว เวลาทานก๋วยเตี๋ยว ก็ควรบอกผู้ปรุง ให้ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวแต่น้อย ใส่ผักหรือเนื้อให้มาก ข้าวที่ทาน ควรเป็นข้าวที่มีวิตามิน และเกลือแร่สูง เช่น ข้าวกระยาทิพย์ ข้าวที่ขัดสีแต่น้อย ฯลฯ วิตามินและเกลือแร่ จะช่วยต้านทานโรค ทำให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ทำงานตามปกติ ระหว่างที่มีการลดน้ำหนัก
           2. ควรทานโปรตีนในปริมาณสูง ปกติผู้ใหญ่ต้องการโปรตีน ในอาหารประมาณ 1 กรัม ต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม จากผลการค้นคว้าปรากฎว่า เวลาลดน้ำหนัก เมื่อทานอาหาร ที่มีแคลอรีต่ำเข้าไป โปรตีนในอาหารมักจะถูกเผาผลาญ ใช้เป็นพลังงาน มากกว่าจะถูกใช้ในการสร้าง หรือซ่อมแซมเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ โปรตีนในร่างกายมักจะ สลายตัวมากขึ้นด้วย ดังนั้น ในการลดน้ำหนัก จึงควรทานอาหาร ที่มีโปรตีนสูงประมาณ 1.5 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม มีผู้พบว่า การทานโปรตีนปริมาณนี้ จะช่วยป้องกัน การสูญเสียไนโตรเจน อันเนื่องมาจาก การเอาโปรตีนในอาหาร หรือจากเนื้อเยื่อ และช่วยให้อิ่มนานขึ้นอีกด้วย
           ผู้ที่ลดน้ำหนัก ควรทานโปรตีนวันละ 70-100 กรัม หรือไม่น้อยกว่าวันละ 60 กรัม และควรแบ่งให้เท่า ๆ กันทั้ง 3 มื้อ ส่วนใหญ่ควรเป็นโปรตีน ที่ได้จากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หรือผลิตผลจากสัตว์ เช่น ไข่ นม ที่เอาไขมันออก  หรือจากถั่วเหลือง และถั่วเมล็ดแห้งอื่น ๆ จึงจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายคุ้มค่า ควรทานเนื้อปลาให้มาก เพราะมีไขมัน ต่ำกว่า เนื้อสัตว์ชนิดอื่น และย่อยง่าย ควรทานปลาทะเลให้บ่อย เพราะให้ไอโอดีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคคอพอกด้วย ควรทานเนื้อหมูไม่ติดมันด้วย เพราะให้โปรตีนและวิตามิน บีหนึ่ง ส่วนเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ก็มีประโยชน์และมีเหล็ก และวิตามินต่าง ๆ สูง
           ในการประกอบอาหาร เนื้อสัตว์ไม่ควรใช้วิธีทอด ควรย่างหรือต้มกับผักก็ได้ อาหารพวกถั่วเมล็ดแห้ง ควรหุงต้มให้เปื่อย จะได้ย่อยง่ายขึ้น และควรพยายามทานให้บ่อยครั้ง เพราะให้โปรตีน คุณภาพทัดเทียมกับเนื้อสัตว์ และไม่มีสารไขมัน พวกคอเลสเตอรอล ซึ่งจะทำอันตรายแก่หลอดเลือดด้วย
           3. ควรมีไขมันพอสมควรในอาหาร ขณะลดน้ำหนักคนชอบคิดว่า ควรงดทานไขมันทั้งหมด นับว่าเป็นการเข้าใจที่ผิด เราไม่ควรงดอาหารไขมันไปเลย ควรจะมีทาน บ้างสักเล็กน้อย  เพราะไขมัน ช่วยดูดซึมวิตามิน ที่ละลายในไขมัน ให้กลายเป็นกรดไขมัน ที่จำเป็นแก่ร่างกาย และช่วยให้อาหาร อยู่ในกระเพาะได้นาน หรืออิ่มนาน จนกว่าจะถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป ไขมันที่ควรรับประทาน ในการลดน้ำหนัก ควรเป็นไขมัน ที่มาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ เช่นน้ำมันถั่ว น้ำมันรำ ฯลฯ น้ำมันพืชดังกล่าว (ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว) ซึ่งมีกรดไขมัน ที่จำเป็นแก่ร่างกาย และกรดไขมัน ที่ไม่อิ่มตัวผสมอยู่มาก และไม่มีสารพวก คอเลสเตอรอล กรดไขมันดังกล่าวนี้ สามารถลด คอเลสเตอรอลในเลือดได้ จึงช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ไขมันจากเนื้อมะพร้าว และน้ำมันมะพร้าวนั้น ไม่มีคอเลสเตอรอลก็จริง แต่มีกรดไขมันพวกอิ่มตัวอยู่มาก มีกรดไขมันพวกไม่อิ่มตัวน้อย จึงไม่มีประโยชน์มากนัก นแง่ป้องกันโรคเส้นเลือด แข็งเปราะเหมือนไขมันจากพืชอื่น ๆ
           ไขมันก็กระจายตัวง่าย เช่น ไขมันที่มาจากนม ไข่แดง ปลาติดมัน ก็รับประทานได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่ควรทานไขมัน ที่ติดกับเนื้อสัตว์อื่น เช่น หมูสามชั้น มันเนื้อ และควรใช้ น้ำมันพืชดังกล่าวมาแล้วประกอบอาหาร ทำน้ำสลัด หรือาจใช้น้ำสลัดที่ไม่ใส่ไขมัน แต่ใส่น้ำส้มหรือน้ำมะนาวแทน
           ในเรื่องเกี่ยวกับไขมันนี้ บุคคลส่วนมาก มักเข้าใจว่าทานน้ำมันพืชแล้วไม่อ้วน ความจริงทั้งไขมันจากพืชและสัตว์ ถ้าทานมากเกินไป ทำให้อ้วนได้ทั้งนั้น อาหารพวกแป้งหรือข้าวก็เช่นเดียวกัน ถ้าทานมากไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันได้ ดังนี้นถึงแม้คนไทย ทานอาหารที่มีไขมันต่ำก็จริง แต่ทานข้าวและขนมหวานกันมาก ซึ่งก็ทำให้อ้วนได้เช่นเดียวกัน
           4. ควรทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะผักและผลไม้ เป็นอาหารให้แคลอรีต่ำ มีเกลือแร่และวิตามินสูง และช่วยบรรเทาความหิวได้ ในระหว่างที่มีการลดอาหาร
           ผักที่มีแคลอรีต่ำมาก และควรทานเป็นประจำทุกมื้อ โดยไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ผักกระเฉด ผักกาดหอม แตงกวา เห็ด ดอกกะหล่ำ เป็นต้น
           ผักที่มีแคลอรีพอควรซึ่งอาจทานได้บ่อยครั้งได้แก่ หัวผักกาดแดง หัวหอม ถั่ว ฟักทอง บวบ ฯลฯ
           ผักที่มีแคลอรีค่อนข้างสูง เช่น มันเทศ มันฝรั่ง ข้าวโพด เผือก ทานได้เป็นครั้งคราว ไม่ควรทานบ่อย
           ผักที่ทานควรเป็นผักสด เช่น ทำเป็นสลัด ถ้าหุงต้มควรทำแกงจืด แบบซุปหรือแกงส้มดีกว่าทอดหรือผัดกะทิ
           เลือกทานผลไม้ที่รสไม่หวานจัด ทานผลไม้สดพวกที่มีวิตามินซีสูงทุกวัน เช่น ส้มเขียวหวาน ผลไม้อื่น เช่น มะละกอสุก สับปะรด กล้วยทานได้ไม่จำกัดจำนวนและควรดื่ม น้ำผลไม้สดที่ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ควรทานผลไม้กวน เพราะมีน้ำตาลอยู่มาก งดทานแยม หรือมาร์มาเลดเด็ดขาด เพราะให้แคลอรีสูง
           สำหรับผู้ที่แพทย์แนะนำให้ทานอาหาร มีแคลอรีต่ำมาก หรือถ้าเป็นหญิงมีครรภ์ ที่ต้องลดน้ำหนัก ควรทานเกลือแร่ เช่น เหล็ก แคลเซียม และวิตามินรวมเพิ่มเติม
           สรุปได้ว่า ทานอาหารพวกเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ลดข้าว ขนมและไขมัน อาหารที่ควรละเว้น ได้แก่ อาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน หรือไขมัน ผลไม้เปลือกแข็ง เนยเหลว ช็อกโกแลต ไอศกรีม เนื้อหรือปลามีมันสูง น้ำสลัดข้น ปลากระป๋องที่แช่ในน้ำมัน ขนมหวานจัด น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง รวมทั้งเครื่องดื่มพวกน้ำอัดลม เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ (แอลกอฮอล์ 1 กรัม มีปริมาณถึง 7 แคลอรี)
การออกกำลังกาย
           การออกกำลังกาย จะช่วยให้การใช้อาหารลดน้ำหนัก เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพราะเวลาร่างกายทำงาน หรือออกกำลังกาย ร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงาน ถ้าออกแรงมาก ก็ยิ่งต้องใช้พลังงานมาก การออกกำลังกาย ยังช่วยให้กล้ามเนื้อ และอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ประสานงานกันดีขึ้น หัวใจ และปอดทำงาน ดีขึ้น  ไม่เหนื่อยง่าย ท้องไม่ผูก  
           จากการทดสอบพบว่า ถ้าเราเดินวันละ 1 ชั่วโมงด้วยความเร็วพอสมควร วิ่ง ขี่จักรยานหรือว่ายน้ำวันละ 20 นาที จะเสียพลังงานวันละ 200 แคลอรี ถ้าทำเช่นนี้ทุกวัน เป็นเวลาหนึ่งเดือนจะช่วยให้น้ำหนักลดลงประมาณ 1/2-1 กิโลกรัม การทำสวนปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ก็จะช่วยลดน้ำหนักได้เช่นเดียวกัน การขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ เป็นการออกกำลังกาย ที่ทำได้ง่าย และช่วยลดน้ำหนักด้วย คนอ้วนที่ไม่เป็นโรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง ควรพยายามเคลื่อนไหว ออกกำลังกายให้มาก และพยายามทำ ให้สม่ำเสมอทุกวัน ควบคู่กันไปกับการลดอาหาร
           ในเรื่องการออกกำลังกายนี้ มีผู้โต้แย้งเสมอว่า เวลาออกกำลังกายเหนื่อย ความอยากอาหารมักจะมีมากขึ้น ทำให้ยิ่งหิว ก็ยิ่งทานอาหารได้มาก เลยลดน้ำหนักไม่สำเร็จ บางคนอ้วนกว่าเดิมก็มี ที่เป็นเช่นนี้ เพราะผู้ปฏิบัติไม่ทำโดยสม่ำเสมอ มักจะทำบ้างหยุดบ้าง จึงทำให้การลดน้ำหนัก ไม่ได้ผล นักวิทยาศาสตร์ ผู้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้โดยละเอียด อธิบายว่า คนที่ไม่เคยออกกำลังกาย ถ้ามาออกแรงทำงาน หรือเล่นกีฬา ความอยากอาหารจะเพิ่มขึ้นในตอนแรก  ซึ่งเป็นธรรมชาติของร่างกาย ที่จะปรับปรุงการทานอาหาร ให้ได้สมดุล กับปริมาณพลังงานที่ร่างกายใช้จ่าย คือ เมื่อใช้มาก ก็ทานมาก เป็นเงาตามตัว แต่ถ้าบุคคลนั้น ออกกำลังกายให้มากขึ้น จนถึงระดับหนึ่ง และทำจนเคยชิน ความอยากอาหาร จะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าบุคคลนั้นออกกำลังกาย จนเข้าขั้น เหนื่อยล้า (Fatigue) ความอยากอาหาร ก็จะลดลง ดังนั้นการออกกำลังกาย จะช่วยลดน้ำหนัก ได้ก็ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติ ทำสม่ำเสมอ และมากพอควร แต่ไม่ควร มากเกินไป จนถึงให้โทษ หรือเป็นอันตรายแก่ร่างกาย
ข้อควรปฏิบัติอื่น ๆ ในการลดน้ำหนัก
           1. ปรึกษาแพทย์ หรือผู้ที่มีความรู้ในเรื่องของการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะ เพื่อจะได้ทราบว่า สาเหตุของการเป็นโรคอ้วนนั้น เนื่องมาจากการทำงานของ ต่อมต่าง ๆ ผิดปกติ หรือนิสัยการกินไม่ดี แพทย์หรือผู้ชำนาญเรื่องนี้ จะเป็นผู้บอกว่า บุคคลนั้น ควรจะลดน้ำหนักมากน้อยเท่าใด กินอย่างไร และออกกำลังกาย มากน้อยเพียงใด จึงจะไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย
           2. ชั่งน้ำหนักร่างกายอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง การชั่งน้ำหนักควรชั่งเวลาเดียวกันทุกครั้ง อย่าลืมว่า น้ำหนักร่างกาย เปลี่ยนแปลงตลอดวัน การชั่งน้ำหนักเวลาเดียวกันจะทำให้ทราบ การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักโดยแท้จริง เวลาที่ดีที่สุด ในการชั่งน้ำหนัก คือ หลังจากทำความสะอาดร่างกายแล้ว ก่อนรับประทานอาหารเช้า
           3. ควรลดน้ำหนักทีละน้อย หรือค่อยเป็นค่อยไป จึงจะปลอดภัย การลดน้ำหนักฮวบฮาบ ในเวลาอันสั้น อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วย หรือถึงตายได้ ดังนั้นในสัปดาห์หนึ่ง ควรลดน้ำหนักไม่เกิน 1/2-1 กิโลกรัม นอกจากแพทย์ จะเป็นผู้ควบคุมอย่างใกล้ชิด อย่าลืมว่า น้ำหนักร่างกายของคนเรานั้น ไม่ได้ เพิ่มขึ้นในเวลา 1-2 สัปดาห์ การเพิ่มน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ใช้เวลาเป็นแรมเดือน หรือนับปี ดังนั้นการลดน้ำหนัก ย่อมยากที่จะทำสำเร็จภายใน 1-2 เดือน ในระยะแรก ของการลดน้ำหนัก ต้องมีความอดทนพอสมควร คือต้องรอคอยผล ซึ่งต้องใช้เวลา ใน2-3 สัปดาห์แรก อาจทำให้ไม่ได้ผล ต้องพยายามลดน้ำหนักต่อไป น้ำหนักจึงจะค่อย ๆ ลดลง ในอัตราทสม่ำเสมอ โดยมากคนไข้ มักหมดกำลังใจเสียก่อน เลยทำไม่สำเร็จ
           4. พยายามรับประทานอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดอาหารบางมื้อ คนทั่วไปชอบคิดกันว่า ถ้าอดอาหารเช้า จะทำให้น้ำหนักลดลง นับว่าเป็นความคิดที่ผิด นักโภชนาการ ได้ทำการค้นคว้าแล้วว่า อาหารมื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และต้องเป็นอาหาร ที่มีประโยชน์ที่สุด เพราะร่างกายไม่ได้รับอาหาร มาเป็นเวลาหลายชั่วโมง จึงจำต้องได้รับอาหาร ที่ดีมาทดแทน เพราะถ้าเราอดอาหารเช้าแล้ว ธรรมชาติของร่างกาย จะทำให้รับประทานอาหารชดเชย มากขึ้นในมื้อต่อไป ควรทานอาหารทุกมื้อตามปกติ แต่ไม่ควรทานมื้อเย็นมากนัก และควรลดขนมหวาน หรือเครื่องดื่ม ที่มีพลังงานสูงก่อนเข้านอน เพราะหลังอาหารมื้อเย็น ร่างกายไม่ได้ออกแรงทำงาน อาหารที่รับประทานเข้าไป จะถูกเก็บสะสมไว้ ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ง่าย  ถ้ารู้สึกหิว ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือนมอุ่น ๆ ที่ไม่มีไขมันสัก 1 แก้วก่อนนอน
           5. ควรแก้ไขนิสัยการบริโภคอาหารที่ไม่ดี เป็นต้นว่า ต้องทานแต่พอรู้สึกอิ่มเท่านั้น จากการค้นคว้าพบว่า แม่บ้านที่เป็นโรคอ้วน ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ ชอบทานจุบทานจิบอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่รู้ตัวว่าอิ่มแล้ว เพราะเสียดายของ ไม่ต้องการให้อาหารเหลือ ควรหัดให้กระเพาะ ชินกับการจำกัดอาหารทีละน้อย ในที่สุด ก็จะทานน้อยไปเอง ถ้ารู้สึกหิวก่อนถึงเวลาอาหาร ควรทานผลไม้ หรือดื่มน้ำผลไม้เท่านั้น หรืออาจใช้เครื่องดื่ม ที่ไม่มีครีมและน้ำตาลได้ นอกจากนี้ มีรายงานว่า ผู้ที่ทานอาหารรีบร้อน หรือเร็วมักอ้วนง่ายกว่าผู้ที่ทานช้า
           6. ควรออกกำลังกายควบคู่ไปกับการจำกัดอาหาร จากการสำรวจพบว่า นักเรียนหญิงที่เป็นโรคอ้วน มักไม่ชอบออกกำลังกาย ทั้งที่ทานอาหารเท่าเด็กปกติ การออกกำลังกาย ปฏิบัติได้ทุกเวลา เว้นแต่หลังอาหารใหม่ ๆ หรือก่อนนอน  ทางที่ดีควรออกกำลังกาย ก่อนทานอาหารประมาณ 1-2 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายเพียงวันละ ครึ่งชั่วโมงทุกวัน จะให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้มาก
           7. ไม่ควรอดนอน หรือลดชั่วโมงการพักผ่อนลง ควรพักผ่อนหลับนอนตามปกติ เพราะระหว่างลดน้ำหนัก ร่างกายมักอ่อนแอลง เป็นช่องทางให้เกิดโรคได้ง่าย ดังนั้นอาหารที่ทาน ถึงจะมีปริมาณน้อย ก็ต้องมีคุณค่าสูง และร่างกาย ก็ต้องการพักผ่อนอย่างเพียงพอด้วย
           8. เมื่อลดน้ำหนักได้สำเร็จ จนถึงระดับที่ต้องการแล้ว ต้องควบคุมน้ำหนักไว้ โดยต้องระมัดระวัง เรื่องการทานอาหาร และหมั่นออกกำลังกาย ถ้าไม่ควบคุมให้ดี น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นโดยง่าย
           9. ในต่างประเทศพบว่า การลดน้ำหนักเป็นหมู่ หรือเป็นพวกนั้นทำได้ง่ายกว่าทำคนเดียว ดังนั้น ควรหาสมัครพรรคพวก แล้วแข่งกันว่าใครจะทำได้ สำเร็จก่อน
โรคผอมแห้งและอาหารเพิ่มน้ำหนัก
           ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยเกินขนาด (Underweight) หมายถึงผู้ที่มีน้ำหนัก น้อยกว่าน้ำหนักเฉลี่ยของคนปกติร้อยละ 10-20 ถ้าน้ำหนักน้อยกว่าคนปกติร้อยละ 20 ถือว่าเป็นโรคผอมแห้ง (Chronic leanness)
           ปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักน้อยกว่าปกติ และโรคผอมแห้งนี้ มักได้รับความสนใจน้อยกว่าโรคอ้วน โดยมากเกิดกับผู้ที่เคลื่อนไหวมาก พักผ่อนน้อย ทานน้อย จู้จี้เลือกอาหาร ทานไม่ลง หรือเบื่ออาหารง่าย หรือมีโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ทำให้อาหาร ที่ทานเข้าไปถูกเผาพลาญมาก หรือ เป็นโรคที่ทำให้ อาหารดูดซึมไม่ดี เช่น คลื่นไส้อาเจียน โรคกระเพาะลำไส้ ท้องเดิน ฯลฯ นอกจากนี้ มักมีอารมร์เครียด และหมกมุ่นวิตกกังวลอยู่เสมอ การมีน้ำหนักน้อยเกินไป ก็มีผลร้าย คือเหนื่อยง่าย ความต้านทานโรคต่ำ มักเป็นโรคขาดสารอาหาร และโรคอื่น ๆ เช่นวัณโรค และเกิดผลร้ายใน ระหว่างตั้งครรภ์ ดังได้กล่าวมาแล้ว
           อาหารสำหรับผู้มีน้ำหนักน้อยกว่าปกตินั้น มีลักษณะตรงข้าม กับอาหารของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก คือ ต้องมีพลังงาน หรือแคลอรีสูงกว่าปกติวันละ 500 แคลอรีขึ้นไป หรือควรทานวันละ 3,000-3,500 แคลอรี สำหรับผู้ที่ออกแรงทำงานพอควร การเพิ่มแคลอรี ทำได้โดยทานอาหาร ที่ให้พลังงานสูงและทานเนื้อที่น้อย เข่น เนยเหลว ไอศกรีม ขนมหวาน ทานผักและผลไม้ ที่ให้พลังงานสูงพอควร แต่ไม่ควรลดปริมาณโปรตีน ควรทานโปรตีนเท่ากับคนปกติ หรือมากกว่าคนปกติ ดังนั้นจึงควรทานเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง และผลไม้เปลือกแข็ง ให้มากขึ้นกว่าปกติ สำหรับผู้ที่ไม่ใคร่มีความอยากอาหาร อาจต้องออกกำลังกายบ้างเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นให้มีความอยากอาหารมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทานอาหารที่มันจัด หรือหวานจัดเกินไป เพราะจะทำให้ทานอาหาร ได้น้อยกว่าปกติ ผู้ที่มีน้ำหนักน้อย ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และต้องพยายามทำจิตใจให้เบิกบาน   ี้
สรุป
           ถึงแม้ว่าคนไทย จะยังไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วนมากนัก ผู้อยู่ในวัยกลางคน สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรระวังเรื่องอาหารการทานให้มาก ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะนอกจาก จะทำให้น้ำหนักมากเกินขนาด หรือเกิดโรคอ้วน ซึ่งเป็นช่องทางให้ภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ ลดลงแล้ว ยังมีผลเสีย ต่อร่างกายและจิตใจหลายอย่าง ดังได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้นถ้าเราทานแต่พอประมาณ นอกจากจะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บข้างต้น และมีอายุยืนยาวแล้ว ยังช่วยรักษารูปทรง และมีความสะดวกใจ ในการแต่งกายด้วย แต่ละคนอาจวินิจฉัยตนเองได้ง่าย โดยดูขนาดเสื้อผ้าที่เคยสวม ขนาดของเอว สะโพกและแขนว่า มีไขมันสะสมตรงส่วนใดมากผิดปกติ แล้วตัดสินเอาว่า ควรเพิ่มหรือลดน้ำหนักเท่าใด จึงจะดูเหมาะสม การลดน้ำหนัก ไม่จำเป็นต้องทำให้ถึงขนาด ผอมระหงหรือนางแบบ เพียงแต่ลดลง จนถึงน้ำหนักที่เราเห็นว่า ร่างกายแข็งแรง สบาย ไม่มีโรคภัยก็พอแล้ว ในการลดน้ำหนัก ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีวิธีใด จะแก้ไขได้ดีเท่า การทานพอประมาณ และการออกกำลังกาย วิธีที่โฆษณากันอยู่ในปัจจุบัน เช่น ใช้สบู่ครีม อาบน้ำร้อนนวด ใช้เสื้อผ้า รัดรูปพิเศษ เครื่องมือลดไขมัน หรือการทานยานั้น ได้ผลเพียงชั่วคราว และอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายได้ง่าย นอกจากนี้ ต้องระลึกเสมอว่า การลดน้ำหนักควร ค่อยเป็นค่อยไป จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง และปลอดภัย แก่สุขภาพอนามัยมากที่สุด
10 วิธีลดความอ้วนได้ผลอย่างสดชื่นและเป็นสุข
           1. คิดเมนูอาหารล่วงหน้า และทานอาหารที่เตรียมไว้ เพราะการคิดเมนูอาหาร ไว้ล่วงหน้าแล้ว มักได้อาหาร ที่ถูกสุขลักษณะตามต้องการ
           2. ไปตลาดหรือห้างสรรพสินค้า ในขณะที่ทานอาหารอิ่มแล้ว จะทำให้ไม่อยากที่จะซื้ออะไรทานอีก
           3. ทานแต่เพียงเล็กน้อย เช่น อยากดื่มน้ำหวาน ก็รินนิดหน่อย อย่าเทตามใจชอบ แล้วรีบปิดจุกขวดทันที อยากทานถั่วทอด ก็ทานเล็กน้อย แล้วรีบปิดซองทันที เป็นต้น
           4. อย่าไปทานตามภัตตาคารบ่อย ๆ โดยเฉพาะการทานอาหารบุฟเฟต์ มักจะมีอาหารประเภทไขมันมาก และมีหลากหลายชนิด ยั่วยวนให้เกิดความอยากทาน
           5. ไม่ทานอาหารแคลอรีสูง เช่น ช็อกโกแลต ของทอด คุกกี้ ของแบบนี้ ไม่ควรมีไว้ในบ้าน ควรจะมีผลไม้ ผักไว้ในตู้เย็นมาก ๆ เวลาอยากทานของว่าง ประเภทไขมัน จะได้ทานผลไม้หรือผักแทน
           6. ชักชวนคนในบ้านไม่ทานอาหารทำลายสุขภาพ เช่น ของทอด ๆ หรือไอศกรีม เพื่อเป็นการป้องกัน ไม่ให้เราอยากทานไปด้วย
           7. ทำตัวให้กระฉับกระเฉง หาทางออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงความสะดวกสบายจนเกินไป เช่น เดินไปไหนแทนการนั่งรถเมล์ ขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์ เป็นต้น
           8. ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนทานอาหารทุกมื้อ จะได้อิ่มและทานอาหารอื่นน้อยลง
           9. แปรงฟันทุกครั้งที่ทานอาหาร เนื่องจากฟันสะอาด ลมหายใจดีมีความสดชื่น ทำให้เกิดการลังเลก่อนทานทุกครั้ง เพราะขี้เกียจที่จะแปรงฟันใหม่
         10. ไม่นัดเพื่อนหรือแฟนที่ร้านอาหาร ร้านขนม หรือคาเฟ่ ไม่จัดการประชุม ใกล้สถานที่ที่มีอะไร ยั่วยวนชวนรับประทาน
ทางลัด(ที่เชื่อว่า)ลดความอ้วนได้...จริงหรือ
           ดังที่กล่าวมาแล้วว่า คนอ้วนจำนวนมาก เป็นกังวลเกี่ยวกับ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อย่างไม่มีหนทางที่จะสกัดกั้นมันได้ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าหากลดปริมาณ อาหารโดยไม่ตามใจปาก และออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอ ที่จะช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้  แต่กระนั้น มันก็ต้องใช้เวลา ซึ่งช้าเกินไปกว่าที่จะรอเห็นภาพตัวเอง ผอมลงได้
           ดังนั้นเมื่อมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ของบรรดาสถาบันต่าง ๆ ว่าได้คิดค้นวิธีลดน้ำหนัก ให้กับสาวหนุ่มร่างยักษ์ได้สำเร็จ ผู้คนจึงแห่ไปกันมากมาย เพื่อเข้าคิว รอพบหมอเทวดา ที่บันดาลให้คุณเธอทั้งหลาย ผอมเพรียวได้ในไม่กี่วัน
           เงินทองที่ลูกค้าทุ่มเทให้ไป ต่างสร้างความร่ำรวย ให้กับสถาบันลดความอ้วนนั้น ๆ จนแทบไม่ต้องไปรักษาคนไข้ที่เป็นโรคอื่น ๆ เรียกว่า ลูกค้าผอมได้โดยทางลัด ในขณะที่สถาบันเหล่านั้น ก็รวยได้โดยทางลัดเหมือนกัน
           วิธีการที่นิยมนำมาใช้ในการลดความอ้วนทางลัด ได้แก่การฝังเข็มลดไขมัน การให้ยาลดความอ้วน การดูดไขมัน การใช้เครื่องมือทางคอมพิวเตอร์ ละลายไขมัน การใช้สารดูดไขมัน และการดูดไขมันออกโดยตรง
           ทางลัดที่เชื่อกันว่าลดความอ้วนได้นี้ ไม่มีใครที่จะยืนยันได้ดี เท่ากับผู้ที่ได้ไปใช้บริการมาด้วยตัวเอง เราจะไม่เจาะลึกลงไป ในรายละเอียด ว่าคุณเธอเหล่านั้น พึงพอใจต่อผลที่เกิดขึ้นหรือไม่ และเมื่อใดที่ไม่ได้ไปหาหมอ ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร
           ต่อไปนี้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนอ้วน และคนเพิ่งอ้วนทั้งหลาย ลองมาฟังนักวิชาการ และผู้มีประสบการณ์ตรงพูดถึง  วิธีลัด ในการลดความอ้วนดังกล่าว ที่โฆษณาชวนเชื่อกันว่า ได้ผลดีนักดีหนา ภายในทันตาเห็นนั้น เป็นจริงหรือไม่
1. ฝังเข็ม...ละลายไขมัน (ได้หรือ)
           แม้ว่าเรื่องราวของการฝังเข็มลดความอ้วน จะเป็นที่แพร่หลาย มาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว แพทย์หลายท่าน เดินทางไปศึกษาศาสตร์ฝังเข็ม จากประเทศจีน และนำมาใช้กับคนไข้ในบ้านเรา
           การฝังเข็มลดความอ้วนในเมืองไทย เป็นการนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ ทั้นนี้โดยอยู่บนพื้นฐาน ของการแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากในประเทศต้นแบบเอง การฝังเข็มลดความอ้วน ก็ยังไม่ได้แพร่หลายอะไรมากนัก
           ด้วยเหตุที่เรื่องราวของการฝังเข็มลดความอ้วน ยังไม่สามารถอธิบาย ในด้านความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนได้ ความสงสัย เกี่ยวกับการฝังเข็มลดความอ้วน ก็ยังไม่คลี่คลายว่า ลดได้หรือไม่ได้กันแน่ เรื่องนี้ น.พ.ไพศาล วชาติมานนท์ หัวหน้าโครงการคลินิกฝังเข็ม กรุงเทพ เหลียวหนิง โรงพยาบาลกรุงเทพ และ น.พ.มนัส  วุฒินันท์ จากโรงพยาบาลหัวเฉียว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ท่านจะเป็นผู้ให้คำตอบ
           "การฝังเข็มจะได้ผลชัด ในเรื่องของการรักษาอาการปวด แต่เรื่องการฝังเข็มลดความอ้วน มีตัวเลข ที่ค่อนข้างจะขัดกันเยอะ บ้างก็ว่าได้ผล บ้างก็ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป หรืออเมริกาก็ดี ซึ่งทั้งหมด เป็นตัวเลขที่มาจากเมืองนอก สำหรับคนไทยเรา ยังไม่มีการศึกษากันอย่างจริงจัง ตัวเลขเมืองนอกจะนำ มาใช้เปรียบเทียบกัน คงจะไม่ได้ทีเดียว เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพันธุกรรม ลักษณะของสรีระ และเมตาบอลิซึม ซึ่งใน แต่ละคนไม่เหมือนกัน ที่นิยมทำกันมาก ก็คือฝังเข็ม เพื่อไปกดจุดระงับความหิวเสียเป็นสำคัญ เพราะว่า จะได้รับประทานอาหารน้อยลง การฝังเข็มนั้นน่าจะ เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งคุณจะต้อง คอยควบคุมอาหาร และออกกำลังกายด้วย เรื่องการลดน้ำหนัก ไม่มีวิธีลัด มีคนไข้มาหาผม บอกว่าขี้เกียจเหลือเกิน ไม่อยากออกกำลังกาย ขอฝังเข็มอย่างเดียว โดยไม่ต้องทำอย่างอื่นได้ไหม ผมยังมีความเชื่อว่าไม่ได้ การฝังเข็ม เป็นเพียงแค่การเสริม ผมย้ำกับคนไข้ทุกคน ที่มาหาผม แต่ถ้าคุณอยากลองดูก็ได้ แต่ในความเชื่อของผม ต้องออกกำลังกาย และควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย จึงจะได้ผลแท้จริง"
           ในเรื่องการฝังเข็มช่วยละลายไขมันเฉพาะส่วน ที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันว่าจริงหรือไม่ คุณหมอให้เหตุผลต่อว่า
           "ผมคิดว่า การฝังเข็ม เป็นแค่การไปปรับสมดุลในร่างกายเฉย ๆ ไม่ได้มีความร้อนออกมา พอที่จะไปละลายไขมันได้ ยิ่งการลดความอ้วนเฉพาะส่วน มีตัวเลขน้อยมาก  ได้ผลจริง การลดน้ำหนัก จะต้องลดทั้งตัว แต่บางท่าน จะเชื่อเพราะเห็นว่าทางแพทย์แผนจีน เขาทำกันมานานแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้มีการศึกษา อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีการทดลองว่า เมื่อฝังเข็มแล้ว ลองผ่าตัดดูว่า ไขมันลดลงจริงหรือเปล่า แต่ถ้าถามผมก็สรุปได้เลยว่า เป็นไปไม่ได้
           ทางแพทย์ใหญ่ของไทย ได้ติดต่อไปที่เซี่ยงไฮ้ เพราะที่เมืองไทย การฝังเข็มลดความอ้วนฮิตกันมาก เขาก็อธิบายว่า สาเหตุที่การฝังเข็ม มีผลต่อกา ลดน้ำหนักได้ ก็เพราะฝังลงในจุดที่เกี่ยวกับ จิตใจ เกี่ยวกับพวกลำไส้ กระเพาะ เกี่ยวกับ การเผาผลาญพลังงาน จำพวกม้าม คือกระตุ้นให้เมตาบอลิซึม ในร่างกายสูง ซึ่งก็ไม่เชิงว่า จะเป็นการละลายไขมัน เพียงแต่เมื่อมีการ เผาผลาญพลังงานมากขึ้น ก็อาจจะไปดึงเอาไกลโคเจน หรือไขมันออกมาใช้ และกระตุ้น ให้มีการระบายท้อง แต่ไม่มีใครอธิบายว่า การฝังเข็ม จะไปทำให้ไขมันละลาย แต่จะบอกว่า การฝังเข็มจะทำให้บริเวณนั้น เกิดปฏิกิริยาอะไรบ้าง ก็มีทั้งร้อน ทั้งแดง ทั้งตึง ทั้งปวด ทั้งบวม ก็นึกเอาเองว่า บริเวณนั้น จะต้องมีการเพิ่ม การหมุนเวียนของเลือด มีการถ่ายออกซิเจนดีมากกว่า"
           ส่วนการฝังเข็มแต่ละครั้ง จะช่วยลดน้ำหนักลงได้เท่าไรนั้น เป็นเรื่องที่ตอบแน่นอนไม่ได้ บางคน อาจจะลดลงเพียงแค่ครึ่งกิโลกรัม บางคนอาจ น้ำหนักลงมากกว่านั้น มันอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้แพทย์มนัสได้ให้ทัศนะว่า
           "เราเคยมีคนไข้หนัก 150 กิโลกรัม มาหาผมก็ฝังเข็มให้ แต่ก็ต้องให้เขาออกกำลังกายช่วย เล่นกีฬา ทานอาหารน้อยลง ไม่นอนกลางวันเดินไปเดินมา เพียง 3 เดือน เขาก็ลดน้ำหนักได้ถึง 40 กิโลกรัม"
           จึงสรุปว่า การฝังเข็มกับเรื่องลดความอ้วน เป็นเรื่องที่ได้ผลชั่วคราว แต่การออกกำลังกาย และทานอาหารที่ถูกต้อง เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำตลอดไป หรือคุณ จะอยากเดินทางไปให้หมอฝังเข็ม ตลอดชีวิตก็ตามใจ
2. ยาลดความอ้วน...ได้ผลจริง แต่อันตราย!!
           แม้ว่ายาลดความอ้วน จะไม่สามารถหาซื้อได้ ตามร้านขายยาทั่วไป แต่สาวอ้วนที่อยากผอมทันใจทั้งหลาย ก็ยอมเดินทางเข้าไปใช้บริการ จากคลินิกลดความอ้วน ทั้ง ๆ ที่รู้ถึงผลข้างเคียงของยาเหล่านี้ดี
           สาวหนึ่งเล่าประสบการณ์ของเธอให้ฟังว่า "ทานยาลดความอ้วน ครั้งแรกสมัยเริ่มทำงานใหม่ ๆ ตอนนั้นหนัก 62 กก.สูง 157 ซม. เห็นเพื่อนทานแล้วได้ผล ก็เลยไปหาหมอ ที่คลินิกแถวรามคำแหงบ้าง หมอวัดความสูง ชั่งน้ำหนัก ตรวจความดัน แล้วบอกว่า น่าจะลดลงสัก 5-6 กก. แต่ไม่สนับสนุนให้ทานยา แต่ความที่เห็นเพื่อนทานแล้วได้ผล ก็เลยยืนยันกับหมอว่า ยังไงก็จะขอทาน ไปสองวันแรกปรากฎว่าหน้ามืด ไม่อยากทานข้าว เวียนหัวตลอด ใจสั่นทำงาน
ไม่ได้เลย หมอบอกให้ทานข้าวบ้าง แต่มันไม่รู้สึกอยากทานเอง ช่วงนั้นภายใน 1 สัปดาห์น้ำหนักลดลงไป 3 กก. ทานยาติดต่อไปอีก สัปดาห์ หน้ามืดเป็นลม ไปเลย ก็เลยตัดสินใจหยุดยา เพราะทนไม่ไหว
           พอหยุดยาไม่กี่เดือน ก็กลับอ้วนขึ้นมาอีก คราวนี้อยากผอม เพราะเริ่มมีผู้ชายมาจีบ ตัดสินใจกลับไปคลินิกใหม่ เล่าให้หมอฟังว่า ทานยาคราวที่แล้วเกิดผลอย่างไร หมอที่นี่เลยจัดยาเบาให้กว่าเดิม คราวนี้ใจสั่นน้อยกว่าเดิม แต่ปากแห้งมาก รู้สึกขมปากตลอดเวลา หมอห้ามทานข้าวกับเนื้อหมูด้วย ให้ทานแต่ผักกับไก่ หรือถ้าหากอยากทานหมู ก็ทานหมูอย่างเดียว ไม่ให้ทานข้าวไปพร้อม ๆ กัน เพราะจะไปสะสมให้เกิดไขมัน ที่ทำให้อ้วน ปรากฎว่า ปฏิบัติตามคำสั่งหมออาทิตย์แรก น้ำหนักลดลง 3 กก. อาทิตย์ต่อมาลงอีก 1 กก. แต่ในที่สุดก็เลิก เพราะทรมานมาก ทนขมปาก และหิวน้ำตลอดเวลาไม่ไหว"
           สาวอีกคนหนึ่งเล่าให้ฟังอีกว่า "เพื่อนคนหนึ่ง ทานยาลดความอ้วน ตอนแรกไม่รู้ว่าเขาทาน จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาหน้ามืด ล้มหัวฟาดพื้นเลือดคั่งในสมอง ถึงกับต้องผ่าตัดสมองเลย หมอบอกว่า ผ่าไม่ได้เพราะเลือดไม่แข็งตัว หาสาเหตุเท่าไรก็ไม่พบ จนต้องให้คนไปค้นที่ห้อง จึงรู้ว่า เธอทานยาลดความอ้วนอยู่ เป็นยาจากโรงพยาบาลชื่อดัง ที่มีชื่อเสียงเรื่องการลดความอ้วน ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์"
           ยาลดความอ้วนที่ใช้กันทั่วไป นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งอธิบายว่า เป็นยาที่เป็นอนุพันธ์ของยาม้า เพราะยาพวกนี้ ทานเข้าไปแล้ว จะไปกระตุ้นให้ร่างกาย มีการตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ไม่รู้สึกหิว ยาพวกนี้เป็นอันตรายทานมาก ๆ กล้ามเนื้อหัวใจจะอักเสบ เส้นเลือดอักเสบ ทำให้ถึงกับเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ไปเลย คนบางคนทานยานี้ไปมาก ๆ มีอาการขย่มตัวทั้งวัน ต้องสั่งให้เลิกทานยาจึงจะหายอาการเช่นนี้
           นอกจากนั้น ยาลดความอ้วนยังมีอีกหลายชนิด ยาประเภทที่ทานเข้าไปแล้ว จะทำให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เอาไทรอยด์ฮอร์โมน ให้คนไข้ทาน จะได้ไปทำให้ร่างกาย มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ผลที่ตามมา คือ เกิดความร้อนในร่างกาย ใจสั่น ใครหัวใจไม่ปกติก็อาจหัวใจวาย ตายได้ง่าย ๆ
           ยาอีกกลุ่ม คือยารักษาโรคเบาหวาน ทานเข้าไปเพื่อ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำมาก ๆ ก็จะมีอาการหน้ามืด เป็นลมได้ง่าย ๆ
           บางรายได้รับยาขับปัสสาวะ ทานเข้าไปแล้ว ทำให้ถ่ายปัสสาวะมาก เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงจริง แต่ไขมันก็ยังอยู่เท่าเดิม สิ่งที่สูญเสียไป คือเกลือแร่ต่าง ๆ ที่ออกมาพร้อม ๆ กับปัสสาวะ
           ส่วนชาและสมุนไพรลดความอ้วน ดูชื่อแล้ว น่าจะปลอดภัยต่อร่างกายที่สุด พวกนี้จะมีสรรพคุณเป็นยาระบาย โดยผู้กิน จะมีความเข้าใจว่า กินเข้าไปแล้ว จะกินอาหารเข้าไปเท่าไรก็ได้ เสร็จแล้วก็รีบถ่ายออกมาเร็ว ๆ หารู้ไม่ว่า ทิ้งผลร้ายเอาไว้ คือ ยาพวกนี้ จะไปทำให้ลำไส้ฝืด ลดความสามารถในการดูดซึมอาหารของลำไส้ หากกินไปนาน ๆ จะทำให้ลำไส้มีปัญหา จนกลายเป็นคนท้องผูกไปเลย ดีไม่ดีอาจจะติดยาถ่ายไปอีกชนิดก็ได้
           สรุปได้ว่ายาลดความอ้วนแต่ละชนิด เป็นอันตรายต่อร่างกายแทบทั้งสิ้น แม่ว่าจะเป็นยา ที่ต้องจ่ายโดยแพทย์ที่ได้รับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม แต่ก็ต้องศึกษาถึงตัวยาชนิดนั้นด้วย เพราะผลที่เกิดขึ้น จะอยู่กับตัวเอง ไม่ใช่แพทย์ที่สั่งยานั้น ทางที่ดีไม่จำเป็นก็ไม่ควรกินยา เพื่อลดความอ้วน หันไปใช้วิธีอื่นจะดีกว่า
3. ดูดไขมัน...ยิ่งดูดก็ยิ่งแย่
           เป็นวิธีการที่คนอ้วนนิยมกัน เพราะต้องการผอม หรือลดส่วนเกินอย่างปัจจุบันทันด่วน วิธีการนี้ ทำโดยการสอดท่อ เข้าไปในชั้นไขมัน แล้วใช้แรงดูดที่มีความดันสูงมาก ดึงไขมันตรงนั้นออกมา เป็นวิธีการที่ค่อนข้างอันตราย เจ็บปวด เสียเลือด และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ข้อสำคัญที่สุด ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากด้วย
           สาวท่านหนึ่งได้เล่าประสบการณ์เรื่องนี้ให้ฟังว่า ด้วยอาชีพ จำเป็นต้องรักษารูปร่างของตัวเองไม่ให้อ้วน ดังนั้น เมื่อถูกเตือนจากผู้ใหญ่ ว่าอ้วนไปแล้ว จึงต้องหาทางลดโดยด่วน จึงตัดสินลองดูดไขมันช่วงเอวและสะโพก ตอนดูด หมอวางยาสลบให้ ตื่นขึ้นมาเห็นไขมันสีขาว ๆ ของตัวเองในหลอดเล็ก ๆ 2 หลอด อาการหลังจากนั้น รู้สึกเจ็บมาก แรก ๆ เดินแทบไม่ได้ ต้องเอาผ้าพันไว้ รู้สึกว่าอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน ร่างกายก็กลับมาเหมือนเดิมอีก คราวนี้กลายเป็นไขมันก้อนแข็ง ๆ แถมผิวหนังก็เป็นรอยแตก แย่ยิ่งกว่าตอนก่อนดูดอีก
4. อาหารควบคุมน้ำหนัก...ของจริงหรือหลอกลวง!!
           สาวอ้วนทั้งหลายที่อยากผอม มักจะมีอุปสรรคเรื่องเอาชนะปากไม่ได้ เห็นอะไรอยากทานไปหมด เลยผอมไม่ได้สักที วิธีการที่จะทำให้ไม่ต้องอดอาหาร และไม่อ้วนคือ ต้องทานอะไรก็ได้ ที่ปราศจากไขมันและคาร์โบไฮเดรต เข้าไปในกระเพาะอาหาร เพื่อเป็นการถ่วงให้ท้องอิ่ม แต่ไม่เพิ่มไขมัน อาหารที่นิยมมากในระยะแรก ๆ คือ เม็ดแมงลัก แต่ด้วยความจำเจซ้ำซาก เม็ดแมงลักจึงตกไป กลายเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก ที่เรียกว่าอาหารเสริม ประเภทไฟเบอร์เข้ามาแทนที่ ปรากฎว่าแพร่หลายกันมาก เพราะเป็นอาหารที่ถ่วงท้องให้อิ่ม แต่ไม่ให้พลังงาน
           ในความเป็นจริง หากรับประทาน อาหารควบคุมน้ำหนักที่ว่านี้ตลอด ก็อาจจะผอมจริง แต่น้อยรายนักที่จะทำได้ ยกตัวอย่าง สาวอ้วนพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ เล่าให้ฟังว่า "ตอนแรกเขาบอกว่า ไม่ต้องออกกำลังกาย ไม่ต้องควบคุมอาหาร แต่ต้องปฏิบัติ ตามโปรแกรมอย่างเคร่งครัด เลยยอมเสียเงินเป็นหมื่น แลกกั อาหารมาหนึ่งลัง ต้องทานแทนอาหารปกติวันละ 2 ซอง ปรากฎว่ารสชาติแย่มาก ทานได้อาทิตย์เดียวก็เลิก จะคืนของที่เหลือ เขาก็ไม่รับ เขาบอกว่าเงินที่เสียไปเป็น ค่าลงทะเบียน ไม่ใช่ค่าอาหารตัวนี้ และเราก็ไม่ปฏิบัติตามโปรแกรมเอง เขาไม่รับผิดชอบ"
           แพทย์ได้แนะนำว่า แม้อาหารชนิดนี้ จะมีขายตามท้องตลาดทั่วไป ไม่ควรหาซื้อมารับประทานเอง ควรใช้ภายใต้การดูแล ของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนบำบัด
           ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน การใช้อาหารเหล่านี้ ก็อาจจะให้ผลต่างกัน และถึงแม้จะไม่อันตรายมาก แต่ร่างกายของคนเรา ก็ต้องการธาตุอาหารทุกวัน หากรับประทานเข้าไม่พอ ก็อาจเป็นอันตราย ทำให้เกิดการช็อกได้เหมือนกัน
5. ละลายไขมันด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์...พร้อม ๆ กับละลายเงิน
1. อบตัวในแคปซูล
           วิธีการก็คือจับตัวเรา แล้วกำหนดจุดที่ร่างกาย โดยการวัดรอบแขนจุดหนึ่ง รอบขาจุดหนึ่ง รอบอก รอบเอว รวมแล้วประมาณสิบจุด จากนั้น ก็จะถูกจับอบตัวในแคปซูล อันทันสมัย และความร้อนที่ออกมานั้น ก็เจือไปด้วยสารสุดวิเศษ ที่สามารถทำให้ลดไขมันลงได้ แต่สิ่งที่สูญเสียคือ น้ำและเกลือแร่ ที่ออกมาพร้อมกับเหงื่อ และเมื่อถึงเวลา ก็จะมีการวัดซ้ำอีก คราวนี้จะรัดสายวัดแน่นกว่าเดิม หรือใช้เทคนิค การพันผ้ารอบตัวไปเลย ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่เนื้อหนังมังสามนุษย์ มักมีการยืดหยุ่น ถ้าเอาอะไรไปรัดมันนาน ๆ ก็ต้องมีการหดตัว กระชับขึ้น เมื่อถูกเอาผ้าออก เพียงวันเดียวร่งกายก็จะกลับคืนสภาพเหมือนเดิมอีก
2. การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า
           ความจริงแล้วการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า เราใช้กับคนไข้ที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยที่เราใช้กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ผ่านเข้าไปในกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อก็จะถูกกระตุ้น มีการกระตุ้น คล้ายคลึงกับการออกกำลังกาย ก็อาจจะมีผลทำให้ กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งแรงขึ้นได้ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำวันเดียวแล้วได้ผล ต้องทำติดต่อกันหลายครั้ง เสียเงินเป็นหมื่น ๆ ถ้าทำอย่างนั้น สู้ออกกำลังกายไม่ดีกว่าหรือ แถมไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย
           นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือชนิดอื่นอีกเช่น เครื่องสั่นสะเทือน เครื่องนวด เครื่องที่ใช้ความดัน อุปกรณ์แม่เหล็กต่าง ๆ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ มีสรรพคุณเพียงช่วย ในการไหลเวียนของกระแสโลหิต และทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ไม่ได้ช่วยให้ลดความอ้วนได้โดยตรง
6. ใช้สารดูดไขมัน "ไคโตซาน"...สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
           สารไคโตซาน (chitosan) เป็นสารเส้นใยชนิดหนึ่ง ที่พิเศษกว่าเส้นใยทั่วไป คือมีคุณสมบัติ ช่วยจับไขมันในลำไส้ เป็นสารที่สกัดจากของแข็งของสัตว์ โดยเฉพาะเปลือกกุ้ง หรือกระดองปู ด้วยคุณสมบัติ ที่สามารถจับไขมันได้มากถึง 4-5 เท่าของน้ำหนักตัว
           ในระยะแรก ๆ ไคโตซานถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ในการแยกไขมัน ในขบวนการบำบัดน้ำเสีย ในโรงงานอุตสาหกรรม และต่อมา จึงมีนักคิดหัวไม้ นำสารตัวนี้มาใช้ในการดูดซับไขมันในคน ซึ่งผลที่ได้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก
           กล่าวคือ สารไคโตซานนี้ หากรับประทานก่อนอาหาร หรือพร้อม ๆ อาหาร จะช่วยผู้ที่ชอบทานอาหารมัน ๆ โดยการดูดซับไขมันส่วนเกิน ประมาณ 4-5 เท่าของน้ำหนักตัวของมัน ร่างกายจึงดูดซึมไขมัน ไปได้บางส่วนเท่านั้น ส่วนที่ถูกไคโตซานดูดเอาไว้ ก็จะถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ ปัญหาของสารตัวนี้ อยู่ตรงที่ จะสามารถดูดซับไขมัน ได้ดีในภาวะความเป็นกรดเท่านั้น ดังนั้น จึงทำงานได้ดีในกระเพาะอาหาร แต่ในลำไส้ซึ่งมีค่าความเป็นด่าง ไคโตซานก็จะปล่อยไขมัน ที่ดูดเอาไว้ออกมา จึงต้องมีการเสริมวิตามินซี ซึ่งมีความเป็นกรดลงไปด้วย แต่ผลก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก จึงมีการพัฒนาไคโตซานขึ้นไปอีกขั้น จนเกิดสารที่เรียกว่า สารเอนฮานซ์ไคโตซาน (Enhanced Chitosan) ขึ้น
           สารตัวที่ว่านี้ดูดซับไขมันถึง 12 เท่าของน้ำหนักตัว แถมยังทำงานได้ดี ทั้งในสภาพกรดและด่างอีกด้วย
           สารเอนฮานซ์ ไคโตซาน 1 เม็ด ขนาด 250 มิลลิกรัม มีคุณสมบัติสามารถจับไขมันได้ 12 เท่า หรือประมาณ 3 กรัม สมมติว่าคุณ รับประทานข้าวมันไก่ 1 จาน คุณจะได้รับไขมัน 20 กรัม คุณก็อาจจะรับประทาน สารตัวนี้เข้าไป 3 เม็ด เพื่อจับไขมันไว้ 9 กรัม อีก 11 กรัม ที่เหลือ ปล่อยให้เป็นกระบวนการของร่างกาย ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
           เอนฮานซ์ ไคโตซานเป็นสารจากธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างมาก จากการทดลองพบว่า แม้จะรับประทานสารนี้เข้าไปถึง 1.33 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ในแต่ละวัน ก็ไม่เกิดอันตราย ที่จะพบอาการข้างเคียง ที่เกิดขึ้นมากก็คือ ท้องผูก เพราะสารนี้มีคุณสมบัติเป็นไฟเบอร์ด้วย จึงดูดน้ำจากกระเพาะอาหาร
           ข้อแนะนำก็คือ ควรจะดื่มน้ำตามเข้าไปสัก 1-2 แก้วใหญ่ ๆ ต่อเอนฮานซ์ ไคโตซาน 2-3 เม็ด และควรรับประทานก่อนมื้ออาหารสัก 10 นาที หรืออย่างช้าที่สุด ก็รับประทานพร้อม ๆ กับอาหารไปเลย การรับประทานอาหาร จะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
           ข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งของสารเอนฮานซ์ ไคโตซานก็คือ สารตัวนี้จะมีคุณสมบัติ เฉพาะในการดูดซับไขมันเท่านั้น จึงไม่สามารถช่วยคน ที่ชอบรับประทานอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน
           ในคนที่มีไขมันสะสมอยู่ก่อนแล้ว (เช่นลงพุง) สารตัวนี้ ก็ไม่ได้ไปดึงเอาไขมันตรงนั้นออกมา แต่จะดูดซับ เฉพาะไขมันจากอาหารมื้อที่รับประทานด้วยกันเท่านั้น ในส่วนที่สะสมอยู่แล้ว ก็ต้องให้ร่างกายทำหน้าที่เผาผลาญเอง นั่นหมายความว่า คุณจะต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ถ้าทำได้รับรองว่าใน 1 เดือน คุณก็จะสามารถลดน้ำหนัก ได้ถึง 6 กิโลกรัม แต่ถ้าคุณ ไม่อยากออกกำลังกาย ไม่ลดอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาลลงบ้าง หนึ่งเดือนเท่ากัน น้ำหนักอาจจะลดได้แก่กิโลกรัมเดียว หรืออาจจะไม่ลดเลยก็ได้
           ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบรับประทานผักผลไม้ หรืออาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ อยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานเอนฮานซ์ ไคโตซาน หรือในมื้ออาหารที่ไม่มีไขมัน ก็ไม่จำเป็นต้องทานสารตัวนี้ ถึงแม้ว่าสารตัวนี้ จะไม่ใช่สารอันตราย แต่ก็ไม่ควรทานสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะมันไม่ได้ประโยชน์ และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ข้อสำคัญควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนที่จะหาซื้อมารับประทานเอง จะปลอดภัยมากที่สุด
ผลที่ควรระวังเนื่องจากการลดน้ำหนัก
1. วิงเวียน
           คนลดน้ำหนักที่ดื่มแต่น้ำ หรือทานแต่ของเหลวเท่านั้น จะรู้สึกอ่อนเพลียและมึนศีรษะ เนื่องจากการอดอาหารนี้ ร่างกายจะสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมากมาย และที่จะมาพร้อมกับน้ำก็คือโซเดียม
           สำหรับคนลดน้ำหนักที่ขาดธาตุคาร์โบไฮเดรตนั้น อาจมีผลทำให้ ความดันโลหิตของคุณ ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จนคุณรู้สึกวิงเวียน โดยเฉพาะเมื่อคุณ ต้องลุกขึ้นอย่างกะทันหัน หรือนั่งลงอย่างรวดเร็ว
           การแก้ปัญหาคือ หยุดการลดน้ำหนัก และการกินอาหารที่ไม่เหมาะสมนี้ แล้วเริ่มการควบคุมน้ำหนัก อย่างมีสุขภาพดี ชนิดที่มีธาตุอาหารที่ร่างกายต้องการครบครัน
2. ความหิวโหย
           คุณประหลาดใจไหมว่า เจ้าความรู้สึกทรมานในช่องท้องนี้ จะหายไปได้อย่างไร อย่ากังวล! กระเพาะของคุณ เพียงต้องการเวลา เพื่อให้มันหดตัวลงเท่านั้น และเมื่อมันหดตัวลงแล้ว ความหิวโหยนี่ก็จะยุติลงในเวลาเดียวกัน คุณก็ต้องรักษาระดับแคลอรีให้ต่ำเอาไว้
           อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มคือ ดื่มน้ำอย่างน้อย 6 แก้วต่อวัน และทานอาหารจำพวกขนมปัง ข้าว อันจะทำให้คุณคอแห้งอยากดื่มน้ำ และเมื่อดื่มน้ำเข้าไป มันจะพองตัวในท้องของคุณ ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณ ไม่อาจทานอะไรได้อีกแล้ว แม้แต่คำเดียว
3. การหายใจไม่สะดวก
           สารเหตุก็เนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะอดอาหาร หรือทานอาหารไม่ครบ ตามที่ร่างกายต้องการ อันจะทำให้เกิดกรดในกระเพาะ
           ในระหว่างที่รอให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายปรับตัว คุณควรแปรงฟันทุก 2-3 ชั่วโมง ใช้น้ำยาบ้วนปากด้วย แล้วก็เคี้ยวหมากฝรั่ง ที่มีน้ำตาลน้อย ๆ และทำให้ลมปากสดชื่น หากอยากให้กรดในกระเพาะเป็นกลาง คุณก็ลองทานยาลดกรดช่วยได้
4. ท้องผูก
           ในขณะลดน้ำหนัก คุณมักไม่ค่อยได้ทาน อาหารที่มีกาก อาการท้องผูกจึงเกิดขึ้น คุณควรหันมา เพิ่มอาหารประเภทผลไม้ แลุะผักสด ๆ
           อีกวิธีที่จะช่วยป้องกันโรคท้องผูกก็คือ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และดื่มกาแฟในตอนเช้าสักถ้วย เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย.. แน่นอนคุณควรออกกำลังกายทุกวัน
5. ตะคริวที่ขา
           ในขณะที่การดื่มน้ำถือว่าเป็นสิ่งดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่น้ำที่มีมากเกินไป ก็อาจทำให้คุณสูญเสียแคลเซียม ที่จำเป็นต่อร่างกายได้ เพราะตะคริว มักเกิดเนื่องจากร่างกาย ต้องการแคลเซียม เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นตะคริว ควรดื่มนมสด เนย โยเกิร์ต ผักที่มีใบเขียว ถั่วเหลือง น้ำอ้อย
6. ปวดศีรษะ
           ถ้ามีอาการปวดศีรษะระหว่างมื้อก่อนอาหาร หรือเมื่อคุณลดอาหารมากเกินไป บางทีอาจเป็นสาเหตุของ น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องมาจากปริมาณโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ในเมนูมีไม่เพียงพอ ปลา เนย และเนื้อเป็นโปรตีนที่ดี ใส่มันรวมเข้าไป ในตารางอาหารของคุณด้วย ลองพยายามทานอาหาร 6 มื้อเล็ก ๆ ต่อวันแทนที่จะเป็น 3 มื้อตามปกติ
           และสำหรับคุณที่ทานฮอตดอกมากเกินไป ในระหว่างการลดน้ำหนัก มันอาจทำให้คุณเกิดอาการปวดศีรษะได้ เนื่องจากส่วนผสมที่อยู่ในฮอตดอก คือ โซเดียมไนเตรท และกรดดินประสิว
           การบริหารร่างกายอย่างหักโหมมากเกินไป อาจทำให้เกิด อาการปวดศีรษะนี้ได้เช่นกัน วิธีแก้ไขคือ ใจเย็น จำเอาไว้ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว
7. โรคนอนไม่หลับ
           มันเป็นเรื่องธรรมดา ของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการทาน จึงทำให้น้ำตาลในเลือด และอินซูลิน เกิดความไม่สมดุลขึ้น ทำให้หลับไม่ลง
           วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดคือ พยายามกระฉับกระเฉงให้มากที่สุด พยายามเข้าร่วมในสโมสรสุขภาพ และหัดบริหารร่างกายวันละ 15 นาที ให้เป็นกิจวัตร
           บางทีคุณอาจต้องดื่มเครื่องดื่มบางชนิด ช่วยให้คุณหลับ และหลายคนก็ใช้วิธีนี้ได้ผล เครื่องดื่มอุ่น ๆ ที่มีแคลอรีต่ำ หากต้องการรสหวาน ก็ให้ส่น้ำผึ้งลงไปสักนิด
           ถ้ายังไม่ได้ผล ก่อนนอนหยิบหนังสือเล่มโต ๆ ชวนง่วงมาอ่านสักเล่ม แน่นอนว่า คุณไม่มีทางอ่านได้จบ โดยไม่หลับผล็อยไปก่อน
8. เหนื่อยอ่อน
           การลดอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ จะทำให้คุณเหนื่อยอ่อนมาก เพราะร่างกายคุณ ถูกบังคับให้เผาผลาญไขมัน ที่จำเป็นต่อร่างกายมากเกินไป
           วิธีแก้ไขคือ ให้เพิ่มอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีน และวิตามินบี ดื่มน้ำส้มคั้นสักแก้วเมื่อคุณรู้สึกเพลีย จะช่วยให้คุณมีพลังขึ้นอีกนิด
9.หดหู่
           นักไดเอตหลายคนมักพูดว่า "หมู่นี้ฉันมูดดี้จริง ๆ เลยละ" หรือ "ฉันร้องไห้ตลอดเวลา"
           เรื่องของเรื่อง ก็เป็นเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำ มีผลต่อความสมดุล ของน้ำตาลในเลือดและอินซูลิน ทำให้หดหู่ หมองเศร้า
           เพื่อขจัดอาการเช่นนี้ ให้ทานอาหาร ที่จะไม่ทำให้คุณขาดวิตามินบี เช่น เนื้อวัว ปลาทะเล หน่อไม้ ไก่ และเนยสักก้อนเล็ก ๆ
           การขาดแคลเซียม ก็ทำให้อารมณ์คุณตกต่ำเช่นกัน หากคุณขาดสารอาหารพวกแคลเซียม คุณอาจต้องทาน ยาเพิ่มสารอาหารแทน จำเอาไว้ว่า คุณต้องได้รับแคลเซียมถึง 800 มิลลิกรัมต่อวัน
           อีกกรณีหนึ่งคือ นักไดเอตผู้หญิง มักจะดื่มกาแฟดำ ถ้วยต่อถ้วย เพราะว่ามันไม่มีแคลอรี อย่างไรก็ดี กาแฟจะทำลายวิตามินบี 1 ซึ่งยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของคุณ เลวร้ายลง
10. ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
           คุณจะดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด และคนรอบข้าง ก็จะพากันบ่นว่า ให้คุณเลิกการลดน้ำหนักเสีย แต่อย่าเพิ่ง หากนายแพทย์บอกว่า น้ำหนักคุณไม่ได้ต่ำเกินไป หรือเมื่อเทียบ มาตรฐานความสูงแล้ว ไม่ต่ำเกินไป ก็อย่าไปสนใจคำวิจารณ์นั้นเลย เพราะเมื่อร่างกายปรับตัวได้ คุณก็จะดูดีขึ้น


http://www.tuvayanon.net/2fat.html