บทสัมภาษณ์ คุณ ดวงดาว สุวรรณรังษี มุมมองเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและถ่ายภาพที่น่าสนใจมาก
บทสัมภาษณ์ คุณ ดวงดาว สุวรรณรังษี ลงพิมพ์ ใน Bangkok Post 20 สค. 49, Out Look section
เขียนโดย คุณสนิทสุดา เอกชัย
So
what is her purpose? Duangdao answers without having to think. “My goal
is nothing big. I only want my work to spark the imagination of the
younger generation to explore the world, as explorers before us have
done.
“I also want to encourage them to try to find the deeper
meanings of the journeys along the way, not just to be in different
places.”
What meaning has she has found on the way to the Himalayas, the so-called paradise on earth?
She gives a gentle smile. “I’ve found that paradise is really a state of mind. That it’s nowhere else but in your own heart.”
จุดมุ่งหมายของฉัน ไม่ใช่อะไรที่ใหญ่โต
แค่ต้องการให้ผลงานของฉันกระตุ้น จินตนาการของนักเดินทางรุ่นต่อๆไป ให้ออกค้นหาโลก
อย่างที่นักเดินทางรุ่นก่อนๆ ได้ทำไว้
ฉันยังต้องการช่วยเหลือให้พวกเขาได้ค้นพบ ความหมายที่ลึกซึ้ง ของการเดินทาง ที่ไม่ใช่แค่ การเปลี่ยนสถานที่เท่านั้น
แล้วอะไรล่ะ คือความหมาย ที่ซ่อนอยู่ ในการเดินทางของเธอไปหิมาลัย หรือที่เรียกกันว่าสวรรค์บนดิน
เธอ ยิ้ม อย่างอ่อนโยน และตอบว่า
“ฉันได้พบว่า สวรรค์ ที่แท้จริง เป็นเรื่องของการรู้คิด และไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน หากแต่มันอยู่ในใจของเรานั้นเอง”
Although
Duangdao is credited for making Thailand famous for its rich natural
world, she says she didn’t necessarily feel good about it.
“I’m not
an activist. I don’t fight for the environment by taking to the streets
or things like that. I do it with my camera. My aim is to spark a love
for nature among the people. But having seen so many places destroyed by
overtourism, I don’t know if I did the right thing.”
แม้
ว่าคุณดวงดาวจะได้รับการยกย่องว่า
เป็นผู้หนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่
มีธรรมชาติอันสวยงาม แต่เธอกล่าวว่า บางครั้งก็รู้สึกไม่ดี
“ฉันไม่ใช่นักต่อสู้เรียกร้อง ฉันไม่เคยต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยการออกไปประท้วงกลางถนน ฉันทำด้วยกล้อง
จุด
หมายของฉันคือการปลุกจิตสำนึกความรักธรรมชาติให้เกิดในฝูงชน
แต่เมื่อได้เห็นว่า ธรรมชาติ ถูกทำลายลงด้วย กลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ฉันชักไม่แน่ใจ ไม่รู้แล้วว่า ฉันทำในสิ่งที่ถูก”
Duangdao was
leading a car caravan with the aim to go to Lhasa through China via land
routes, something no Thai group has ever done. Apart from the
excitement of being an explorer, she also wanted to witness the
colourful celebrations of Visakha Puja at the top of the world.
A
series of accidents along the way, however, made that goal impossible.
The only way the group could make it to Lhasa on Visaka Puja Day was to
take an airplane.
Did she give up on her dream to explore the land route from China to Tibet?
Although
the group eventually decided to continue the land journey, Duangdao was
pained at not being able to achieve the goal she had set for the
caravan. That was until she saw the pilgrims who prostrated themselves
all the way to Lhasa.
“One told me that it would take him over
140 days from his village to get to Lhasa on a walking pilgrimage. And
he had to prostrate like that all the way. Imagine what he must have
endured _ imagine the power of his faith. “For those pilgrims, it didn’t
matter if they arrived at Lhasa on Visakha Puja or not. What mattered
was that they were expressing their deep faith at that very moment.
“Those
pilgrims taught me that it’s the determination, the faith in what one’s
doing, that matters _ that the journey is more important than the
destination.”
การเดินทาง ไม่ได้สำคัญที่ การถึงจุดหมาย เท่านั้น
บางที ไม่สำคัญเลย ว่า จะถึงหรือไม่ถึง
หากแต่ ระหว่างการเดินทางนั้น การค้นพบ สิ่งต่างๆ รวม จิตใจเราเอง
รวมถึง ความเชื่อมั่น ศรัทธา และ การกล้าออกเดิน นั้น ต่างหาก
ที่สำคัญกว่า ความสำเร็จ ในการถึงจุดหมาย
เป็น ชาวเชียงใหม่
จบนิเทศจุฬา
เป็นนักเขียน และเคยทำงาน อนุสาร อสท.
ต่อมาก็ถ่ายภาพเอง , ถนัดแนวภาพธรรมชาติ
บุกป่า ถ่ายภาพ แทบจะทั่วทุกป่า ในไทย
เคยได้รางวัลภาพ ยอดเยี่ยม จากมูลนิธิ นพ. บุญส่ง เลขะกุล ( ขออภัย ถ้าจำชื่อ มูลนิธิ ผิด หรือจำรางวัลผิด)
( ภาพวัว กระทิง กระมัง ครับ … ผมไม่แน่ใจ นะ )
เป็นผู้หนึ่ง ที่ทำให้ อนุสาร อสท. โด่งดัง
ต่อมาออกมาทำ ของตัว เอง คือ Nature Explorer
คร่าวๆ นะครับ
อ้อ
จากที่ฟังๆมา คุณดวงดาว มีความคิดเกี่ยวกับการใช้กล้อง
การเก็บกล้อง ที่แปลกกว่า คนอื่นๆ
เช่น เคยมีชุด ไลก้า , ชุด Hasselblad ที่สุดยอด
ชุด Nikon เป็นต้น ในแต่ละช่วงเวลา
แต่พอเวลาผ่านไป จะไม่เก็บ
แต่จะขาย และเอาเงินไว้
โดยให้เหตุผลว่า เวลาผ่านไป อุปกรณ์ เก่าลง ความก้าวหน้าทางเทคโนฯ มากขึ้น
เอาเงินไปซื้อของใหม่ๆ มาใช้ จะดีกว่า
และของที่เก็บไว้ ถ้าเก็บไม่ดี เลนส์ก็อาจพังได้
คงไม่อาจ เรียกว่า ผิด/ถูก
แค่เป็น อีกทัศนคติ ของ นักถ่ายภาพมือาชีพอีกคนหนึ่ง นะครับ
……
อ้อ
ผมจำได้ประโยคหนึ่ง ที่ น่าสนใจ คุณดวงดาวเคยบอกว่า
ศิลปะภาพถ่าย คือ ศิลปะของการถ่ายทอด
เราต้องรู้ว่ากำลังถ่ายทอดอะไร , ภาพ ก็จะมีชีวิต มีความเป็น ศิลปะไปเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น