งานเขียน สารคดีคือการนำเอาข้อเท็จจริงที่เป็นข้อมูลความรู้ในเชิงวิชาการ
มาเรียบเรียงเขียนให้อ่านง่ายขึ้น โดยใช้เทคนิคของงานวรรณกรรมเข้ามาช่วย
ให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการตัดสิน เพื่อให้เข้าถึงความดี ความจริง
และความงามด้วยตนเอง
บางครั้งการใช้ตัวอักษรเป็นสื่อเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถบอกเล่า “สาร”
หรือเรื่องราวได้ทั้งหมด
ภาพถ่ายจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของงานเขียนสารคดี
และอาจสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวหนังสือเลย ดังคำกล่าวที่ว่า “ภาพหนึ่งภาพ
แทนคำล้านคำ”
ภาพถ่ายเชิงสารคดีจำเป็นจะต้องดำเนินไปพร้อมเนื้อ
เรื่อง เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และในบางกรณีภาพถ่ายสารคดีก็อาจจำเป็นต้องอาศัยเนื้อเรื่องมาสนับสนุนให้ภาพ
สมบูรณ์ ช่างภาพสารคดีจึงมักจะต้องลงพื้นที่พร้อมกับนักเขียน
หรือบางครั้งก็อาจต้องลงพื้นที่ด้วยตนเอง
การถ่ายภาพในเชิงสารคดีก็
เช่นเดียวกับงานเขียนสารคดี คือ การบันทึกปรากฏการณ์
ข้อเท็จจริงเพื่อบอกเล่าความจริง ตามความเป็นจริง โดยไม่บิดเบือน
และไม่ถ่ายภาพนำความคิดหรือความรู้สึกของผู้คน
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เช่น เรื่องเกี่ยวกับการเมือง
ศาสนา และความเชื่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
วิธีการเล่าเรื่องก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ต้องการจะเล่าด้วย
หากเป็นประเด็นละเอียดอ่อน
หรือเป็นปรากฏการณ์ที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในสังคม
ช่างภาพจำเป็นจะต้องถ่ายทอดข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา
ถ่ายภาพให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยไม่ใช้เทคนิคหรือจัดภาพที่ผิดธรรมชาติ
แต่หากเป็นประเด็นที่ชัดเจนแล้ว อย่างเช่น ยาเสพติด เด็กเร่ร่อน อุบัติภัย
ฯลฯ ช่างภาพอาจต้องถ่ายทอดให้เห็นอารมณ์ ความรู้สึกในภาพ
เพื่อให้คนดูรู้สึกร่วมกับภาพและเรื่องนั้นได้
เทคนิคของการถ่ายภาพ
เชิงสารคดีไม่ได้แตกต่างกับการถ่าย ภาพทั่วไป
แต่การถ่ายภาพสารคดีจำเป็นจะต้องอาศัยการ “ทำการบ้าน”
คือการหาข้อมูลและพูดคุยกับนักเขียนและบรรณาธิการให้ชัดเจน ถึงขอบเขตแค่ไหน
เมื่อถึงเวลาลงพื้นที่จะได้ทำงานได้ตรงตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพที่สุด
เพราะงานสารคดีบางเรื่องจำเป็นจะต้องลงพื้นที่ถ่ายภาพหลายครั้ง
ตามแต่โอกาสและฤดูการ บางเรื่องอาจต้องลงเป็นทีม หรือใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น
สารคดีสัตว์ป่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นต้น
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:28] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
ความแตกต่างระหว่างข่าวกับสารคดี*
คำ
ว่า “สารคดี” นั้นให้คำจำกัดความได้ยาก เพราะมีลักษณะแตกต่างหลากหลาย
และครอบคลุมกว้างมากตั้งแต่เรื่องของบุคคลสำคัญจนถึงเรื่องเหลือเชื่อของ
เหตุการณ์ผิดปรกติต่าง ๆ รวมทั้งคำอธิบายซึ่งบางครั้งต้องการสั้น ๆ
แต่บางครั้งก็อาจต้องใช้ข้อเขียนที่มีความยาวมาก ๆ ก็ได้
แต่ที่เห็นได้ชัดคือเรื่องที่นำเสนอในรูปแบบของสารคดีจะไม่คำนึงถึงความสด
ใหม่ คือ ไม่นำคุณค่าเรื่องเวลามาเป็นตัวกำหนด
บางเรื่องใช้ได้เป็นเวลานานและก็ยังรู้สึกใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ
สิ่ง
ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างข่าวและสารคดีไม่ชัดเจน คือ
ข่าวบางข่าวถูกนำเสนอด้วยวิธีการของสารคดี เช่น
ถ้านำเสนอภาพของผู้ชนะการแข่งขันฟุตบอลหรือผู้เล่นสำคัญที่ทำให้ทีมชนะและผล
การแข่งขันก็อาจเป็นข่าว
แต่ถ้านำเสนอในแง่ความกดดันของนักกีฬาหรือผู้เล่นคนสำคัญที่ทำให้ทีมชนะหรือ
ผู้ชนะก็จะเป็นสารคดี อย่างไรก็ตามลักษณะสำคัญของสารคดีอาจดูได้จาก
1.
ไม่มีกาลเวลา (Timelessness)
สารคดีส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณค่าเพราะความทันต่อเวลาหรือความสดใหม่
แต่มักทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเรื่องนั้นสดใหม่และทันสมัยอยู่เสมอ
ต่างจากภาพข่าวที่ต้องเป็นเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ
แต่จะเก่าและล้าสมัยอย่างรวดเร็ว
2. เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต (Slice
of Life) ถ้าเป็นภาพข่าวคุณค่าของภาพจะมีมากขึ้นถ้าซับเจคมีชื่อเสียง
และกิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความสำคัญหรือรุนแรงซึ่งก่อให้เกิด
ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น สะเทือนใจ หรือเศร้าสลด แต่สารคดีจะตรงกันข้าม
เพราะสารคดีจะบันทึกสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่
หรือสิ่งของธรรมดา ๆ ที่เห็นได้หรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เช่น
เรื่องเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือการออกกำลังกายในสวนสาธารณะ
3.
สารคดีจากข่าว (Featuring the News) เมื่อเกิดความเสียหายร้ายแรงจากไฟไหม้
ภาพข่าวอาจถ่ายให้เห็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ดับเพลิง
และอาสาสมัครกำลังช่วยชีวิตผู้ประสบภัย โดยมีอาคารที่ถูกไฟไหม้เป็นพื้นหลัง
และบรรยายความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ พร้อมรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
แต่สารคดีจากข่าวหรือสารคดีเชิงข่าว (news feature) นั้น
อาจถ่ายภาพตำรวจดับเพลิงที่กำลังช่วยชีวิตสุนัขและตีพิมพ์คู่กันกับภาพผู้
บาดเจ็บ และความเสียหายของอาคารโดยทั่วไป
นักเขียนบางคนให้คำนิยามคำ
ว่า “สารคดี” ว่าหมายถึงอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข่าว
แต่แม้ว่าสารคดีจะรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่ข่าวหรือกีฬา
แต่การแยกและระบุประเภทว่าหมายถึงอะไรบ้างนั้นทำได้ยาก
เพราะมีหมวดหมู่กว้างขวางมาก ที่สำคัญกว่าการแยกและระบุประเภทคือต้องรู้ว่า
จะนำเสนอด้วยวิธีใดจึงจะทำให้ผู้ดูสนใจ
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:28] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
คุณสมบัติของช่างภาพสารคดี
ช่าง
ภาพสารคดี ที่ดีควรมีคุณลักษณะที่ ไวต่อความรู้สึก (sensitive) เช่น
รู้สึกถึงความพอใจหรือไม่พอใจของซับเจค มีความเมตตา (compassionate)
ทรหดอดทนต่อความยากลำบาก (patient) อดทนอดกลั้น (tolerant)
ต่อความกดดันต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ อยากรู้อยากเห็น แต่ไม่สอดรู้สอดเห็น
(nosey) เข้ากับผู้คนทุกประเภทได้ง่าย เด็ดขาดในการตัดสินใจและหนักแน่น
(assertive) แต่ไม่ก้าวร้าว
นอกจากคุณลักษณะประจำตัวดังกล่าวแล้ว ช่างภาพสารคดีที่ดีควรมีความรู้ ความเข้าใจและทักษะต่าง ๆ ต่อไปนี้ด้วย คือ
1.
ต้องรู้จักผู้อ่าน
วิธีที่จะทำให้รู้จักหรือเข้าใจผู้อ่านในขั้นแรกคือดูว่าภาพถ่ายให้หนังสือ
พิมพ์ประเภทไหน เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์
หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย หรือสิ่งพิมพ์เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เพราะประเภทของหนังสือพิมพ์จะช่วยให้ทราบประเภทของผู้อ่านที่มีความต้องการ
และความสนใจแตกต่างกัน
2. ต้องมีความรู้เรื่องเนื้อหาข่าวสาร
(message) งานของช่างภาพคือการบอกผู้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นก่อนที่จะบอกหรือสื่อสารเรื่องราวตาง ๆ ไปยังผู้ดูหรือผู้อ่าน
ช่างภาพต้องเข้าใจและรู้เรื่องที่เกิดขึ้นดีกว่าและมากกว่าคนอื่น ๆ
การเริ่มต้นด้วยการสำรวจวิจัย (research)
และหาข้อมูลด้วยการอ่านและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้รู้หรือผู้เกี่ยวข้อง
ต่าง ๆ ให้มากที่สุดก่อนลงมือทำงานก็เป็นวิธีที่ดี
3. ต้องมีทักษะหรือความสามารถในการคาดหมาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ
3.1
การคาดหมาย ในระยะเวลาที่ยาวนานหรือแนวโน้มต่าง ๆ (trend) เช่น
สังเกตเห็นความผิดปรกติของลมฟ้าอากาศที่ร้อนมากขึ้นทุกปี
หรือผู้คนในชุมชนเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ช่างภาพอาจต้องคิดล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบต่าง ๆ
รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
3.2
การคาดหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ (specific event)
ในระยะเวลาไม่นานนัก เช่นใน
ก่อนเปิดภาคเรียนก็คาดหมายได้ว่าเมื่อถึงเวลาปิดภาค
ผู้ปกครองและบุตรหลานจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง
จึงควรเตรียมตัวและเครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า
ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือแค่วันเดียว
เพื่อให้พร้อมที่จะทำงานได้ทันทีเมื่อมีกิจกรรมหรือเกิดเหตุการณ์ขึ้น
3.3 การคาดหมายขณะอยู่ในเหตุการณ์นั้น (moment within event) หมายถึงสัญยชาติญาณในการคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวินาทีนั้น
4.
ต้องแสดงให้เห็นผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับผู้คน
เมื่ออยู่ในเหตุการณ์อย่าลืมถ่ายภาพที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวที่ต้อง
การจะบอกหรือสื่อสารไปยังผู้ดูหรือผู้อ่าน
และที่สำคัญควรถ่ายภาพให้เห็นว่ากิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสร้าง
ผลกระทบโดยตรงต่อพวกเขาอย่างไร
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:29] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
การปฏิบัติตน
อาชีพ
ช่างภาพวารสารศาสตร์ (Photojournalist)
เป็นอาชีพที่ต้องพบปะพูดคุยติดต่อสื่อสารกับผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลาย
เช่น คนขี้อาย เห็นแก่ตัว จู้จี้ ชอบทำตัวเป็นนาย (bossy)
หรือกับคนที่ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและได้รับความร่วมมือด้วยดี
การเข้าใจลักษณะนิสัยของผู้คนที่แตกต่างเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อ
ให้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและได้รับความร่วมมือด้วยดี เช่น
ควรทราบว่าคนขี้อายมักไม่ค่อยชอบพูดคุยหรือเปิดใจ
จึงควรใช้วิธีพูดคุยให้เกิดความคุ้นเคยและมั่นใจก่อนเริ่มถ่ายภาพ
บางครั้งอาจต้องใช้เวลานานและคุยจนแน่ใจว่าเขาเข้าใจ ไว้ใจ และยอมรับ
จึงนำกล้องออกจากกระเป๋าได้ แต่ถ้าพบกับคนจู้จี้หรือชอบทำตัวเป็นนาย
ก็ควรปล่อยให้เขาคิดว่าเขาเป็นนาย
ด้วยการยอมให้เขาสั่งหรือกำหนดว่าควรถ่ายภาพอย่างไรแลถ่ายตามที่เขาบอกสัก
2-3 ภาพ (ซึ่งบางครั้งก็อาจได้ความคิดใหม่ ๆ เหมือนกัน)
แล้วจึงขอถ่ายภาพตามที่ตนเองต้องการภายหลัง
เนื่องจากงานของช่างภาพ
ไม่ใช่การเปลี่ยนความเห็นหรือทัศนคติของใคร ๆ
เมื่อพบกับผู้คนที่มีนิสัยแตกต่างกันจึงต้องหลีกเลี่ยงการโต้แย้งหรือถก
เถียง พยายามให้ซับเจคพูดถึงตัวเองทั้งสิ่งที่เขาคิดและสิ่งที่เขาทำ
โดยช่างภาพต้องไม่พูดถึงตัวเองไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือแนวคิดใด ๆ ก็ตาม
ที่ต้องระวังคือ ต้องไม่พูดคุยหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง
ศาสนา หรือปรัชญาที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในสังคม
เมื่อต้องเจอ
กับซับเจคที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เช่น บอกว่าไม่มีเวลา
ก็ควรขอเวลาเท่าที่เขาให้ได้ เช่น 5 นาที และต้องพยายามถ่ายให้เสร็จ
เมื่อครบเวลาก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว
บางครั้งการกระทำและคำพูดแบบนี้ก็ทำให้ซับเจคพอใจ และมีอยู่บ่อย ๆ
ที่ซับเจคให้เวลามากกว่าที่กำหนดไว้ แต่ในกรณีที่ไม่ได้รับความร่วมมือจริง ๆ
เพราะซับเจคตกเป็นข่าวในทางลบ
อาจต้องอาศัยโอกาสหรือจังหวะที่ซับเจคลงจากรถหรือออกจากตัวอาคารแทน
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:30] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าถ่ายภาพเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องเรียน
ซึ่งมีความอยากรู้อยากเห็นและมีความสนใจช่างภาพมาก ควรบอกว่าตัวเองเป็นใคร
กำลังทำอะไร และเพื่อให้ความอยากรู้อยากเห็นและความต้องการถ่ายภาพลดลง
บางทีอาจต้องถ่ายภาพหมู่สัก 2-3 ภาพ และปล่อยให้พวกเด็ก ๆ จ้องมอง
ทำท่าต่าง ๆ ใส่กล้องสักพัก
เมื่อถึงเวลาถ่ายจริงอาจต้องบอกพวกเขาว่าถ้าอยากมีตัวเองอยู่ในภาพ
ต้องทำเป็นไม่เห็นกล้อง ถ้ายังมีปัญหาและมีเวลาพอควรปล่อยให้เวลาผ่านไปสัก
10-20 นาที เด็ก ๆ
ก็จะเคยชินกับกล้องและเลิกสนใจหรืออาจหันไปสนใจอย่างอื่นแทน
อย่างไร
ก็ตามโดยทั่วไปแล้ว เด็กเป็นซับเจคที่ถ่ายได้ง่ายเพราะดูน่ารัก
เป็นธรรมชาติและจะทำท่าทางแปลก ๆ
หรือทำสิ่งที่ดูไร้เดียงสาโดยไม่ต้องบอกให้ทำ
เด็กบางคนชอบทำเลียนแบบผู้ใหญ่ เช่น ทาลิปสติก ใส่รองเท้าส้นสูงของแม่
หรือสวมหมวกของพ่อ ฯลฯ
อูลริค เวลสช์ (Ulrike Welsch)
ผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพเด็กที่ถ่ายภาพให้ บอสตัน
โกลบจะขออนุญาติผู้ปกครองก่อน
ถ้าผู้ปกครองไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้นก็จะขอให้เด็กพาไปหา เวลสช์บอกว่า
เพราะไม่ต้องการให้ผู้ปกครองสงสัยและขัดจังหวะการถ่ายภาพ
แม้การกระทำเช่นนี้จะขัดจังหวะการทำกิจกรรมของเด็กอยู่บ้าง
แต่เด็กก็จะได้กลับไปเล่นหรือทำกิจกรรมใหม่อย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ
นอก
จากเด็กแล้ว สัตว์ยังเป็นซับเจคที่ถูกนำเสนอเป็นสารคดีมากที่สุด
คนรักสัตว์มักปฏิบัติต่อสัตว์เหมือนเป็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ
เพราะเชื่อว่าสัตว์เลี้ยงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์
จึงฝึกให้ทำท่าทางเหมือนคน เช่น นั่ง นอนบนเตียง สูบบุหรี่ กินไอศกรีม ยิ้ม
ฯลฯ คุณสมบัติเฉพาะตัวหรือท่าทางแปลก ๆ เหล่านี้
เป็นวัตถุดิบสำหรับงานสารคดีได้ดี
โดย: sorawich (เอ้ ) [6 ส.ค. 53 19:31] ( IP A:124.121.96.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
การถ่ายภาพเชิงสารคดีไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเด็ก สัตว์ และสวนสาธารณะ
ยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่ถูกนำมาถ่ายภาพสารคดี
แม้แต่สิ่งที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ (incongruous)
ก็สามารถนำมาถ่ายเป็นภาพสารคดีที่น่าสนใจได้ เช่น ภาพพระถือปืน
ทหารชุดพรางสะพายกล้อง หรือคนนอนอาบแดดข้าง ๆ หลุมฝังศพ เป็นต้น
ลักษณะของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำมาถ่ายทำเป็นสารคดีได้ดีคือ
-
เหตุการณ์ครั้งแรก
การกระทำหรือเหตุการณ์ครั้งแรกหมายถึงความไม่ไม่ประสบการณ์ ความตื่นเต้น
ความวิตกกังวลหรือประหม่า (nervous) ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย
หรืออาจมีความหมายพิเศษ เช่น การไปโรงเรียนวันแรกของเด็กอนุบาล
การเข้าค่ายลูกเสือครั้งแรก หัดเล่นสเก็ตน้ำแข็งครั้งแรก
หรือหัดเต้นรำวันแรก
เหตุการณ์เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นสารคดีที่ดีเพราะมักได้รับความสนใจจาก
ผู้อ่าน
- งานที่ไม่ธรรมดา (unusual)
งานที่อยู่แต่ในห้องทำงานหรือหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลามักไม่ค่อยน่าสนใจ
ต่างจากงานบางประเภท เช่น คนเช็ดกระจกอาคารสูง คนขี่ม้าพยศ นักกายกรรม
นักบินทดสอบ คนงานในโรงงานผลิตรถยนต์ ฯลฯ
ภาพการทำงานเหล่านี้ทำให้สารคดีเป็นที่น่าสนใจและสร้างความประทับใจได้ง่าย
เพราะเป็นงานที่คนน้อยคนจะได้เห็นหรือสัมผัสและคนจำนวนมากอยากรู้
-
วันพิเศษ (special day) วันพิเศษสร้างเป็นเรื่องราวสารคดีได้ง่าย เช่น
วันพ่อ วันแม่ วันเด็ก วันปีใหม่ วันสตรีสากล วันเอดส์โลก
แต่ต้องระวังเรื่องที่อาจสร้างความไม่พอใจแก่ผู้คนได้ เช่น เรื่องของคนป่วย
โรคเอดส์ที่อาจสร้างความไม่พอใจให้กับญาติของผู้ป่วยหรือทำให้ผู้คนเกิดความ
ตระหนกเกินความจำเป็น
เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายภาพได้ครอบคลุม
เหตุการณ์และใช้งานได้ดี ช่างภาพควรถ่ายภาพแบบพื้นฐานทั้ง 3 ระยะ คือ
ระยะไกล (long shot) ระยะปานกลาง (medium shot) และระยะใกล้ (close-up
shot) ไว้ด้วยทุกครั้ง
- ถ่ายระยะไกล
เพื่อให้เห็นสถานที่หรือทำเลทั้งหมดอย่างกว้าง ๆ
เพื่อให้ผู้ดูเห็นความสัมพันธ์
ขนาดและมาตราส่วนของสิ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ
- ถ่ายระยะปานกลาง ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างซับเจคกับส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อมบางส่วน
- ถ่ายระยะใกล้ เพื่อเน้ให้เห็นรายละเอียดที่ต้องการเน้น ซึ่งบางทีก็อาจเห็นแค่ใบหน้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของวัตถุหรือซับเจคเท่านั้น
การ
จะถ่ายระยะใกล้หรือไกลแค่ไหนและถ่ายอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเรื่องที่
กำหนดหรือขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ควรถ่ายแค่ระยะพื้นฐาน 3
ระยะนี้เท่านั้น แต่ควรถ่ายจากมุมต่าง ๆ ให้หลากหลายด้วย เช่น มุมสูง
มุมต่ำ แนวตั้ง แนวนอน ฯลฯ
นอกจากต้องถ่ายให้ครอบคลุมเหตุการณ์แล้ว
ยังต้องถ่ายภาพที่สามารถบอกเล่า
เรื่องราวที่เป็นหัวใจของเหตุการณ์นั้นให้ได้ด้วย
(ถ้าเป็นภาพข่าวอาจเป็นภาพเดียว แต่ถ้าเป็นภาพสารคดีอาจใช้มากกว่า 1 ภาพ)
ช่างภาพจึงต้องหาจังหวะหรือรอวินาทีที่องค์ประกอบต่าง ๆ
มารวมอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด จังหวะหรือวินาทีสำคัญที่ว่านี้เรียกว่า “พีค
โมเมนต์” (peak moment)
ซึ่งการถ่ายภาพในช่วงวินาทีที่สำคัญนี้เป็นเรื่องท้าทายเพราะช่างภาพต้องใช้
ความชำนาญในการคาดหมาย
เนื่องจากต้องใช้เวลาหลังจากตามองเห็นประมาณครึ่งวินาทีก่อนสมองสั่งให้นิ้ว
กดปุ่มชัตเตอร์ และอีกประมาณ 1/10 วินาทีชัตเตอร์จึงจะเปิด ดังนั้นหาก
รอจนเห็นภาพที่ดีที่สุด (perfect moment) แล้วจึงกดชัตเตอร์ก็อาจสายไป
*คัด
ลอกมาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชุลีพร เกษโกวิท, การถ่ายภาพวารสารศาสตร์,
บทที่ 8 สารคดี, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2546
และ http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=News&file=article&sid=2398
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น